วันนี้ต้องบอกว่ายิ่งร้อนแรง กรณี รุ้ง ปนัสยา ปราศรัยในทำนองศาลอยู่ฝั่งม็อบ ทำให้ฝ่ายศาลต้องออกมาชี้แจง แต่กระนั้นก็ไม่เคลียร์แบบที่หมอเหรียญทอง กระทุ้งถาม และจากประเด็นนี้เองที่อาจนำไปสู่การหมิ่นศาลหรือไม่ ซึ่งอดีตนายทหารเลือดจงรักภักดีเข้มข้นจะเดินทางไปถึงสำนักงานศาล
ทั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ที่กลุ่มม็อบคณะราษฎรชุมนุมบริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน โดยสาเหตุมาจากที่ศาลได้ฝากขัง นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ในฐานความผิด ม.112, ม.116, ม.215 รวม 11 ข้อหา
โดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง กล่าวบางช่วงบางตอนที่ Voice TV ได้นำมาออกอากาศ โดยเป็นการ หมิ่นศาล และจาบจ้วงสถาบันฯ อย่างรุนแรง เนื้อหาใจความประมาณว่า
“ศาลส่งสัญญาณมาให้เรา(คณะราษฎร) ว่า เขาจะยื้อได้ถึงแค่วันที่ 14 นี้เท่านั้น ศาลที่เขาอยู่ฝั่งเราที่เขาพยายามช่วยเรา เขายื้อให้ได้ถึงแค่วันที่ 17 เพราะเขาถูกกดดันลงมาเยอะมาก ถูกกดดันมาจากข้างบน ข้างบนที่ว่าคือใคร อำนาจเหนือใคร อำนาจเหนือศาลไปอีกเหรอ”
ต่อมา พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีคำพูดของรุ้ง โดยระบุว่า
“เรียน เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ความว่าเนื่องจากการปราศรัยของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ต่อที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 ซึ่งเผยแพร่โดยการออกอากาศของสถานี VOICE TV ความว่า ศาลส่งสัญญาณมาให้เราว่า เขาจะยื้อได้ถึงแค่วันที่ 14 นี้เท่านั้น ศาลที่เขาอยู่ฝั่งเราที่เขาพยายามช่วยเรา เขายื้อให้ได้ถึงแค่วันที่ 17 เพราะเขาถูกกดดันลงมาเยอะมาก ถูกกดดันมาจากข้างบน ข้างบนที่ว่าคือใคร อำนาจเหนือใคร อำนาจเหนือศาล
ผมขอความกรุณาจากเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมได้โปรดตรวจสอบว่า
1 มีผู้พิพากษาหรือศาลตัวใดที่ส่งสัญญาณมาให้ผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติว่าจะหน่วงรั้งการดำเนินคดีให้แก่ผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงเยี่ยงนี้
2 มีผู้พิพากษาหรือศาลตัวใดที่อยู่ฝั่งผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของชาติและพยายามช่วยผู้กระทำความผิด
3 มีผู้พิพากษาหรือศาลตัวใดที่ถูกกดดันมาจากข้างบนที่มีอำนาจเหนือศาล
ทั้งนี้ ผมขอให้เลขาธิการ สำนักงานยุติธรรมได้โปรดแถลงผลการตรวจสอบต่อสาธารณะเพื่อทราบโดยทั่วกันโดยด่วนที่สุดด้วย หากการปราศรัยของ น.ส.ปนัสยา ไม่เป็นความจริง เป็นการโกหกสร้างเรื่องเท็จซึ่งการปราศรัยตามความดังกล่าวเป็นการหมิ่นสถาบันศาลยุติธรรมอย่างร้ายแรง
เลขาธิการ สำนักงานศาลยุติธรรมจะต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญาแผ่นดินกับ น.ส.ปนัสยา อย่างถึงที่สุดโดยไม่มีการประนีประนอมยอมความอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นการทำลายศาลยุติธรรมและระบบยุติธรรมอันเป็นความมั่นคงของชาติ จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการโดยมิชักช้าด้วย ด้วยความปรารถนาดีต่อศาลยุติธรรม”
นั่นเองที่ทำให้ทาง นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ต้องออกมาชี้แจง ในฐานะที่สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานธุรการที่สนับสนุนการอำนวยความยุติธรรมของศาลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
“ขอเรียนว่า ศาลได้ทราบการปราศรัยและการเผยแพร่ข้อความที่พาดพิงศาลแล้วจากที่มีการเผยแพร่ตามสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ เบื้องต้นได้รวบรวมข้อเท็จจริงจากข่าวที่ปรากฏตามสื่อนั้นไว้แล้ว โดยในส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้น สํานักงานศาลยุติธรรมจะได้ตรวจสอบและดำเนินการต่อไป
ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ต่อการอำนวยความยุติธรรมด้านคดี ขอเรียนว่าผู้พิพากษาทุกท่านต่างปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระ ปราศจากอคติ ใช้ดุลยพินิจเพื่อออกคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีต่าง ๆ โดยชอบตามกรอบแห่งกฎหมาย ปราศจากการแทรกแซงทั้งภายในและภายนอกองค์กรสำหรับขั้นตอนการขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาก็จะดำเนินการไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นอกจากนั้นผู้พิพากษายังอยู่ในกรอบจริยธรรมและการดำรงตนตามประมวลจริยธรรมของผู้พิพากษา ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
การใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาในทุกเรื่องต้องมีเหตุผลตามหลักกฎหมายที่สามารถอธิบายให้กับคู่ความทุกฝ่ายได้ชัดเจน และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาก็จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีของคู่ความทุกฝ่ายโดยเมื่อศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาแล้ว หากคู่ความไม่เห็นด้วยก็สามารถยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเป็นการตรวจสอบการทำงานภายในตามหลักสากล
ดังนั้นกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวต่าง ๆ ในช่วงนี้ ขอให้ทุกฝ่ายต่างเข้าใจถึงหลักการทำงานของผู้พิพากษาและศาล ไม่ควรดึงศาลเข้าไปเกี่ยวข้องในประเด็นข้อขัดแย้งไม่ว่าทางใดทางหนึ่งหรือไม่ควรผลักให้ศาลไปเป็นคู่กรณีกับคู่ความเสียเอง การตั้งคำถามหรือข้อสงสัยจากการใช้อารมณ์หรือความรู้สึกโดยปราศข้อความจริง ย่อมบั่นทอนและทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาของศาลไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลื่อออนไลน์มักใช้ถ้อยคำที่เกินเลย ไม่เหมาะสม และหยาบคาย อันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้พิพากษา หากปรากฎว่ามีกรณีที่ข้อมูลบิดเบือน คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง และก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรหรือบุคคลใด ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบในทางกฎหมาย
ผู้พิพากษาและศาลยุติธรรมยอมรับการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตจากประชาชนและสังคม ด้วยความอดทนอดกลั้นและมีวุฒิภาวะ ผู้พิพากษาและศาลจะไม่ออกมาตอบและอธิบายโดยไม่จำเป็น เพราะเข้าใจว่าอาจทำให้มีลักษณะเป็นการตอบโต้และก่อให้เกิดข้อโต้แย้งกันจนศาลกลายเป็นคู่ความเสียเอง หากเกิดสภาพการณ์ดังกล่าวสังคมย่อมวุ่นวายและปราศจากความสงบ
จึงอยากเรียนยืนยันให้ประชาชนและสังคมทั่วไปได้เข้าใจอย่างชัดแจ้งตรงกันว่า ศาลและผู้พิพากษาจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสำนึกรับผิดชอบต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม เสมอภาค และเป็นธรรม ตลอดมาและยังคงปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปไม่ว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไปในทิศทางใดก็ตามความเป็นกลางในหลักกฎหมายยังคงมีอยู่เสมอ”
ล่าสุดวันนี้ 13 กุมภาพันธ์ 2564 หมอเหรียญทอง ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากโพสต์ก่อนหน้านี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นอย่างมากว่า
“มีคนบอกผมให้ระวังศาลจะมีคำสั่งถึงผม ขอเรียนว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการครับ เพราะผมต้องการพบศาลเสียด้วยซ้ำ บางท่านอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าผมลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามตุลาการหรือศาล ผมขอเรียนว่าผมปกป้องตุลาการที่ดีๆไม่ให้แปดเปื้อนต่างหาก แต่ผมขอดูหมิ่นเหยียดหยามตุลาการเลวๆที่เป็นแนวร่วมอริราชศัตรู ผมยึดถือพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ 9 ในการส่งเสริมคนดีและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้สร้างความวุ่นวายนะครับ…สังคมตุลาการผู้พิพากษาก็เช่นกัน
ผมขอเรียนว่าผมปกป้องตุลาการหรือศาลมาโดยตลอดและเป็นรูปธรรมด้วย ในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีมวลชนจัดตั้งมากดดันศาลทุกครั้ง ผมนี่แหละครับที่เป็นคนสั่งให้จัดรถพยาบาล รพ.มงกุฎวัฒนะพร้อมทีมแพทย์ฉุกเฉินขั้นสูงเพื่อสนับสนุนการรักษาความปลอดภัยและการเคลื่อนย้ายตุลาการหรือศาลออกจากพื้นที่พิจารณาคดี หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายคุกคามองค์คณะตุลาการ เพราะผมถือว่าองค์คณะทั้งหลายทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
เมื่อผมมีหน้าที่ปกป้องพระมหากษัตริย์แล้ว ผมก็ต้องปกป้องผู้ทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน โดยผมไม่เคยรอให้สำนักงานศาลหรือใครก็ตามร้องขอ ถึงแม้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะเป็น รพ.เอกชน ไม่ใช่ รพ.รัฐในสังกัดหน่วยงานความมั่นคงก็ตาม ผมก็เตรียมพร้อมสนับสนุนทุกครา…หากไม่เชื่อก็สอบถามฝ่ายรักษาความปลอดภัย หรือเลขาธิการ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็ได้นะครับว่าผมพูดจริงทำจริงหรือไม่…ผมทำเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 7 ปีแล้ว
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ขอบอกตรงๆว่าไม่สบายใจหากมีตุลาการหรือผู้พิพากษาที่มีทัศนะหรือแนวความคิดที่เป็นแนวร่วมอริราชศัตรู ดังเช่นตุลาการชั่วที่ฆ่าตัวตายไปแล้วที่มีทัศนะหรือแนวความคิดที่เป็นแนวร่วมอริราชศัตรู ดังนั้นในสัปดาห์หน้าหลังตรุษจีนแล้ว ผมจะขอเข้าพบเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมโดยไม่ต้องรอให้มีคำสั่งศาลถึงผม
ทั้งนี้เพื่อขอความกรุณาจากเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อนำเรียนคณะกรรมการตุลาการ(กต)ได้โปรดดำเนินการให้มีการทบทวนตรวจสอบคุณสมบัติของตุลาการหรือผู้พิพากษาในระบบยุติธรรมทุกคนทั่วราชอาณาจักรว่า มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติอันเป็นลักษณะต้องห้ามแล้วดำเนินการปลดหรือไล่ออกเสียโดยเร็ว…
นี่แหละครับคือการปกป้องศาล ปกป้องตุลาการเพื่อธำรงไว้ซึ่งศาลสถิตยุติธรรม ไม่ให้อาศัยพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์มากระทำการสนับสนุนขบวนการอริราชศัตรูอันเป็นอันครายร้ายแรงยิ่งต่อพระมหากษัตริย์
โพสต์นี้แชร์หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะได้โดยเฉพาะถึงท่านตุลาการผู้พิพากษาที่เป็นคณะกรรมการตุลาการ(กต) และ/หรือประธานศาลฎีกา
หมายเหตุ ผมจะเดินทางไปพบเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมด้วยตนเอง ขอความกรุณาไม่ต้องมีมวลชนไปร่วมแสดงพลัง ไม่อยากให้ตุลาการดีๆต้องพลอยเสื่อมเสียครับ ผมจะเอาเรื่องเฉพาะตุลาการระยำเท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องแสดงพลังมวลชนที่ศาลกัน ปล่อยให้ผมจัดการคนเดียวก็พอ”