สหรัฐแส่เกาหลีใต้?!? กล่อมบี้เมียนมา สั่งUNร้องโลกคว่ำบาตร ขณะนกม.เมียนมาชักศึกเข้าบ้าน ไม่สนต่างชาติครอบงำ

1261

ทีมต้านจีนของไบเดนเดินสายกล่อมหาพันธมิตรไล่บี้เมียนมา ส่งที่ปรึกษามั่นคงคุยเกาหลีใต้ ส่งทูตอเมริกาประจำUN เรียกร้องประชาคมโลกคว่ำบาตรเมียนมาถึงที่สุด ขณะทูตเมียนมาประจำUN แจงรัฐบาลชุดใหม่เดินหน้าปฏิรูปประเทศภายใต้เส้นทางประชาธิปไตย ฝ่ายนักการเมืองเมียนมาเรียกร้องนานาชาติเข้าแทรกแซง พฤติกรรมเดียวกับพลพรรคล่มชาติในไทยอย่างกับฝาแฝด นี่คือพิษภัยของระบอบเสรีประชาธิปไตยไร้สำนึก

วันที่ 13 ก.พ.2564 นายแอนโทนี่ บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายชุง อึย ยอง รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้คนใหม่เป็นครั้งแรก โดยให้คำมั่นว่า สหรัฐเป็นหุ้นส่วนอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ พร้อมแสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับการก่อรัฐประหารของกองทัพในเมียนมาด้วย 

นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและนายโดนัลด์ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ให้คำมั่นในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ครั้งแรกเมื่อปี 2018 ว่าจะสร้างความสัมพันธ์ใหม่และร่วมมือกันเพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง แต่การประชุมสุดยอดของทั้งสองในปี 2019 ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้หลังจากสหรัฐไม่รับข้อเสนอของเกาหลีเหนือที่จะทำลายสถานที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ยังไม่ได้ประกาศนโยบายใหม่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ขอให้สหรัฐเดินหน้าตามแนวทางที่นายคิมและนายทรัมป์วางเอาไว้

ดูพฤติกรรมโหดของสหรัฐ เร่งรัดเรียกร้องประชาคมโลกให้แซงค์ชันเมียนมา ไม่สนใจว่าจะกระทบกับประชาชนเมียนมา จะลำบากขาดแคลนทางเศรษฐกิจ ขณะนักการเมืองเมียนมาร้องUNตรวจสอบพฤติกรรมกองทัพ ช่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ขอแต่เพียงได้ครองอำนาจ ประเทศชาติจะพังพินาศ ประชาชนจะลำบากสาหัสแค่ไหนไม่เคยสนใจ พฤติกรรมชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน พิมพ์เดียวกันกับพรรคการเมือง นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทั้งหลายในบ้านเรา ที่พร้อมสยบมหาอำนาจตะวันตก และมุ่งทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แก่นกลางแห่งอัตลักษณ์ไทย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนไทยจะไม่ยอมจำนน

มาดูท่าทีขององค์กรตัวแทนมหาอำนาจตะวันตกว่า ทำตามวาระวอชิงตันอย่างเอาการเอางานอย่างไร?

อุปทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ(UN) เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐขอเรียกร้องให้ชาติสมาชิกสหประชาชาติ ร่วมคว่ำบาตรเมียนมาเหมือนกับสหรัฐ เพื่อกดดันเมียนมาให้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาประมาณ 300 รายในเมียนมา ก็เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาสอบสวนพฤติกรรมของกองทัพเมียนมาที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมพลเรือนและยิงผู้ประท้วง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ ประกาศคว่ำบาตรบรรดาผู้นำกองทัพเมียนมา ที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันกดดันเมียนมาให้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อบรรดาผู้นำกองทัพเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสมาชิกในครอบครัวผู้นำเหล่านั้นด้วย

นอกจากนี้ ปธน.ไบเดน ยังเปิดเผยว่า สหรัฐยังเตรียมใช้มาตรการ “ควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวด” และจะยึดกองทุนวงเงินราว 1 พันล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลเมียนมาถืออยู่ในสหรัฐ แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.พ.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า นายมยินต์ ตู เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำสหประชาชาติ (UN) ที่เมืองเจนีวา กล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ซึ่งจัดการประชุมวาระฉุกเฉิน เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา  สืบเนื่องจากกองทัพยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564ว่า  เมียนมายึดมั่นและปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับที่ร่วมเป็นภาคี และรัฐบาลให้ความร่วมมือในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดที่สุด กับหน่วยงานทุกแห่งของ UN และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นายมยินต์ ตูกล่าวว่า  เส้นทางการปฏิูปประชาธิปไตยของเมียนมา “ยังอยู่ในระยะตั้งไข่” และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพยายามอย่างสุดความสามารถ “ไม่ให้ไข่ใบนั้นต้องล้มลง”

ด้านนายเฉิน ซู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำสำนักงานยูเอ็น ที่เมืองเจนีวา กล่าวต่อที่ประชุม UNHRC เน้นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา “เป็นกิจการภายในอย่างแท้จริง” แต่รัฐบาลปักกิ่งพร้อมสนับสนุน การคลี่คลายวิกฤติการณ์ในเมียนมาโดยสันติวิธี เพื่อบรรเทาความตึงเครียดและช่วยให้ สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด

ทั้งนี้ กองทัพเมียนมาได้เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. พร้อมกับควบคุมตัวนางออง ซาน ซูจี และผู้นำคนอื่นๆ และได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี ด้วยเหตุผลทมีการทุจริตเลือกตั้ง  คณะกรรมการการเลือกตั้งประสบความล้มเหลวในการจัดการเลือกตั้ง จนทำให้เกิดการโกงเลือกตั้งมีการใช้ชื่อคนตายสวมสิทธิ์ผู้มีเสียงเลือกตั้ง ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา  สหรัฐเรียกการยึดอำนาจนี้ว่า “รัฐประหาร” แต่จีนเรียก “การกระชับอำนาจที่เป็นกิจการภายในของเมียนมา”

ขณะเดียวกันสถานการณ์ในเมียนมาตึงเครียดมากขึ้น เพราะม็อบปักหลักมา 5 วันขยายตัวในเมืองใหญ่ และเริ่มยกระดับรุนแรงขึ้น ม็อบต้านรัฐประหารทะยานระดับแห่งละหลายหมื่นคน รวมถึงพระสงฆ์จำนมากจากวัดสำคัญในเมืองต่างๆ ขณะตำรวจเริ่มใช้กระสุนยางปราบม็อบ ส่อเค้าการชุมนุมประท้วงทวีความรุนแรงขึ้นและยืดเยื้อ

ในวันศุกร์ที่ 12ก.พ.2564 ที่เมืองเมาะลำเลิง น่าจะเป็นการประท้วงที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงกระสุนยางใส่ผู้ประท้วงจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย รายงานข่าวระบุว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 รายที่ว่านี้มาจากการประท้วงที่เมืองเมาะลำเลิง ซึ่งขณะนั้น มีผู้ประท้วงหลายหมื่นคน โดยก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามพุ่งตัวใส่ผู้ประท้วงและชกหัวชายคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ประท้วงปาหินใส่ตำรวจ และจากนั้นตำรวจจึงตัดสินใจยิงกระสุนยาง  ด้านสำนักข่าวของทางการเมียนมารายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงกระสุนยางออกไป 10 นัด เพราะผู้ประท้วงยังคงมีพฤติกรรมรุนแรงและไม่ยอมออกจากพื้นที่ดังกล่าว