ความสัมพันธ์จีนกับโลกตะวันตก เริ่มทวีความตึงเครียดหนักขึ้น นับตั้งแต่ปธน.โจ ไบเดนสหรัฐเข้ารับตำแหน่ง สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก ทั้งสหภาพยุโรป (อียู), อังกฤษ และแคนาดา กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนหลายคนตั้งแต่ต้นปี โดยอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ขณะที่ปักกิ่งโต้กลับประเทศต่างๆเป็นระยะด้วยบทลงโทษที่สมน้ำสมเนื้อกัน โดยพุ่งเป้าไปยังสมาชิกรัฐสภายุโรป, นักการทูตและครอบครัว รวมไปถึงสถาบันต่างๆ โดยห้ามไม่ให้ธุรกิจของบุคคลและองค์กรเหล่านี้ทำการค้ากับจีน
ล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษผ่านญัตติเรียกการปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีนว่าเป็น “การล้างเผ่าพันธุ์” รัฐบาลจีนตอบโต้กลับประณามคำกล่าวหาของ ส.ส.อังกฤษว่าเป็นการโกหกคำโต ย้อน ส.ส.อังกฤษควรแก้ปัญหาในประเทศของตนเสียก่อน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 เม.ย.2564ที่ผ่านมา สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ญัตติดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของสภาสามัญชนหรือสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ แม้จะไม่มีผลผูกมัดและไม่ได้กำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการตาม แต่ญัตตินี้บ่งชี้ว่าสภาอังกฤษมีจุดยืนที่แข็งกร้าวขึ้นต่อจีนเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ในเขตซินเจียงของจีน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับสหรัฐ สภาของเนเธอร์แลนด์, แคนาดา
รัฐบาลจีนตอบโต้ทันทีเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เม.ย.2564 ว่า สิ่งที่เรียกว่าการล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียงนั้นเป็นการโกหกคำโตที่พวกกองกำลังต่อต้านจีนระหว่างประเทศสร้างขึ้น
จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวกับเอเอฟพีว่า “รัฐบาลจีนและประชาชนจากกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในซินเจียงคัดค้านอย่างหนักแน่นและประณามคำกล่าวหานี้อย่างรุนแรง” “ปัญหาของสหราชอาณาจักรเองก็มีมากพอแล้ว ส.ส.อังกฤษเหล่านี้ควรสนใจธุระของตนเอง และทำเพื่อผู้คนในเขตเลือกตั้งของพวกเขาให้มากขึ้น”
ขณะเดียวกัน หวังอี้ มนตรีแห่งรัฐจีนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้สื่อสารกับสภาความสัมพันธ์ต่างประเทศของสหรัฐฯผ่านวิดีโอลิงก์
กล่าวว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และ “การบังคับใช้แรงงาน” เป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นเพื่อแรงจูงใจทางการเมืองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงของจีน
ญัตติประณามของสภาฯอังกฤษนี้เสนอโดยนุส กานี อดีตรัฐมนตรีพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ส.ส.ที่โดนรัฐบาลจีนคว่ำบาตรฐานกล่าวเท็จเรื่องการปฏิบัติของจีนต่อชาวอุยกูร์
รัฐบาลอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า อังกฤษมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเข้มแข็งในเรื่องซินเจียง แต่อังกฤษไม่เคยถึงขั้นใช้คำ “ล้างเผ่าพันธุ์” โดยเห็นว่ามีเพียงศาลสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่สามารถระบุคำนิยามนี้ตามกฎหมายได้
ไล่เลียงดูขบวนการโจมตีจีนของสหรัฐและพันธมิตรตั้งแต่ต้นปีนี้
-วันที่ 14 มกราคมสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คณะกรรมาธิการบริหารด้านกิจการจีนของสภาคองเกรสแห่งสหรัฐฯ (ซีอีซีซี) ระบุผ่านรายงานที่เผยแพร่ออกมาว่า พฤติกรรมของรัฐบาลจีนอาจเข้าข่ายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆที่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงทางตะวันตกของจีน
-วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงออตตาวา ประเทศแคนาดาว่า สภาสามัญของแคนาดามีมติ 266 ต่อ 0 เสียง ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ ผ่านมติประณามจีน “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และ “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” กลุ่มชาติพันธุ์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
แม้การลงมติดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่คณะรัฐมนตรีแคนาดา 37 คน รวมถึงนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ใช้สิทธิงดออกเสียง ด้วยเหตุผลว่า แคนาดา “ก็มีบาดแผล” เกี่ยวกับ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หญิงเชื้อสายชาติพันธุ์ในประเทศเช่นกัน
ข้อสังเกตุบางประการเกี่ยวกับ การที่สหรัฐและกลุ่มพันธมิตรตะวันตก ได้นำประเด็นล้างเผ่าพันธุ์มุสลิมอุยกูร์มาโหมโจมตีจีนอย่างต่อเนื่องด้วยข้อมูลชุดเดียวกันและไม่รับฟังคำชี้แจงของจีน ไม่ยอมรับการแสดงหลักฐานของจีนและ คนภายนอกที่เคยเข้าไปเดินทางท่องเที่ยวเผยแพร่ชี้แจงแต่อย่างใด
เรื่องนี้มีที่มา ทั้งคณะบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ และ ของโจ ไบเดน ต่างเดินตามนโยบาย “ปักหมุดที่เอเชีย” โดยมีการเน้นย้ำเป็นพิเศษที่ประเทศจีน สหรัฐฯนั้นกำลังดิ้นรนหนักเพื่อพยายามตามให้ทันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน และแทบไม่มีพวกเครื่องมืออุปกรณ์ทางสติปัญญาและทางอุตสาหกรรมล้ำหน้าอยู่ในมือที่พร้อมให้นำมาใช้ในการแข่งขันได้เอาเสียเลย
และนี่น่าจะเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ว่า เป็นความพยายามหยุดยั้งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของจีน เพื่อปิดล้อมจีน สหรัฐฯจึงต้องใช้อำนาจทางการทูตและอำนาจทางการเมือง รวมทั้งกระทำผ่านการใช้สงครามข้อมูลข่าวสาร (information warfare) โดยที่ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรวมๆ กันเข้าก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “สงครามพันทาง หรือ สงครามแบบผสมผสาน” (hybrid war)นั่นเอง
อีกประการหนึ่ง เป็นการเบี่ยงเบนการแทรกแซงรุกรานในพื้นที่ภูมิภาคตะวันออกกลางที่กระทำต่อชาวมุลสลิมโดยตรง เหตุการณ์สงครามไม่จบสิ้นทำให้ประชาชนมุสลิมจำนวนมากมายเสียชีวิตต่อเนื่องมานับทศวรรษ ทั้งลิเบีย อิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรียและปาเลสไตน์
ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก ถูกสหรัฐจับแขวนคอ, มูฮัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ถูกสหรัฐสำเร็จโทษ, นายพลกาเซ็ม โซเลมานี แห่งอิหร่านถูกสหรัฐลอบสังหาร
การฆ่าคนแบบ “ละเมิดบูรณภาพเหนือดินแดน” และไม่เคารพ “อธิปไตย” ของคนอื่น คือปฏิบัติการของ “ต้นแบบประชาธิปไตย” อย่างสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันด้วยข้ออ้าง ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่เป็นประชาธิปไตย ผลคือการทำลายล้างประเทศเหล่านั้นจนแหลกยับเยิน!