เวทีUNเดือด ?!? ทรัมป์โจมตีจีนต้นเหตุแพร่โควิด จี้ยูเอ็นเอาผิด เลขาใหญ่เตือนสงครามเย็นรอบใหม่ทำโลกร้าวฉาน!!!

2123

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ หรือ UNGA ครั้งที่ 75 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ด้วยวีดิโอสุนทรพจน์ที่บันทึกไว้ล่วงหน้า วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลปักกิ่งและ WHO ไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อหยุดยั้งการระบาดตั้งแต่ช่วงต้นๆ และผู้นำสหรัฐฯชี้ว่าจีนต้องรับผิดชอบต่อการ กระทำของตน ขณะเลขาธิการใหญ่UNเตือน สงครามเย็นทำให้โลกร้าวฉาน นานาชาติควรมุ่งสู่การร่วมมือกันแก้ปัญหาโควิดอย่างจริงจัง

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันอังคารที่ 22 ก.ย. 2563 โดยเป็นการประชุมทางไกลออนไลน์ ซึ่งผู้นำโลกส่งคลิปวิดีโอแถลงการณ์ที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเอาไว้ก่อนมาเปิดในที่ประชุม

เริ่มต้นด้วยแถลงการณ์ของ นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่ของสหประชาชาติ (UN) ซึ่งกล่าวเตือนว่า เราต้องทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามเย็นรอบใหม่ โดยไม่ระบุถึงสหรัฐฯ หรือจีน แต่อย่างใด

“เรากำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่อันตรายมากๆ” นายกูเตร์เรส กล่าว “โลกของเราไม่อาจยอมให้เกิดอนาคตที่ 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดแบ่งแยกโลกด้วยรอยร้าวขนาดยักษ์ ด้วยทั้ง 2 ฝ่ายมีกฎทางการค้าและการเงิน รวมทั้งขีดความสามารถทางอินเทอร์เน็ตและปัญญาประดิษฐ์เป็นของตัวเอง” นายกูเตร์เรส กล่าวต่อว่า ในการเผชิญกับไวรัสโคโรนา ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับผลประโยชน์ส่วนตัวอีกแล้ว “ประชานิยมและชาตินิยมต่างล้มเหลว” ความพยายามควบคุมไวรัสภายใต้แนวคิดทั้ง 2 อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ามักทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

สหรัฐไม่พลาดใช้โอกาสนี้โจมตีประเทศจีน

ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์เปิดฉากดุเดือด “ในช่วงแรกสุดของการระบาด จีนล็อกดาวน์การเดินทางภายในประเทศ แต่กลับยอมให้เครื่องบินออกจากประเทศนำเชื้อไปแพร่สู่โลก จีนประณามคำสั่งห้ามเดินทางเข้าสู่จีนของผม ทั้งที่ตัวเองยกเลิกเที่ยวบินในประเทศ และขังประชาชนอยู่ในบ้าน” นายทรัมป์ กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้สหประชาชาติเอาผิดจีนเรื่องไวรัสโคโรนาด้วย “เราต้องทวงถามความรับผิดชอบจากประเทศที่ปล่อยให้เชื้อโรคนี้หลุดออกมาสู่โลก ซึ่งก็คือ จีน”

และกล่าวว่าสหรัฐฯกำลังรับมือการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 200,000 คน และมีผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 6.8 ล้านคน พร้อมยืนยันว่า วิธีการต่อสู้กับวิกฤติการระบาดในสหรัฐฯ นั้น เป็น “การระดมพลเชิงรุกสูงสุด” นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ปธน.ทรัมป์กล่าวโจมตีองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นองค์กรที่ควบคุมโดยจีน และให้คำมั่นว่า สหรัฐจะแจกจ่ายวัคซีนไปให้กับประเทศอื่นๆ “เราจะเอาชนะไวรัส และจะหยุดยั้งโรคระบาดนี้ เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญรุ่งเรือง ความร่วมมือและสันติภาพ” 

ไม่นานต่อมา ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็ได้พูดบ้าง โดยเตือนถึงความเสี่ยงเรื่อง การปะทะกันระหว่างอารยธรรม “เราจะลดความแตกต่างและแก้ปัญหาความขัดแย้งกับฝ่ายอื่น ผ่านการพูดคุยและเจรจาต่อไป และจะไม่หาทางพัฒนาเพียงแต่พวกเราเอง หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมที่ชนะได้ส่วนผู้แพ้เสีย (zero sum game)”

นอกจากผู้นำสหรัฐฯ กับจีนแล้ว ยังมีผู้นำอีกหลายคนที่ได้กล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติ เช่น 

นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ระบุว่า ต้องการจัดการประชุมผ่านทางออนไลน์โดยเร็วที่สุด เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือเรื่องวัคซีนทั่วโลก และวิธีในการส่งมอบวัคซีนเหล่านี้

นายเรเจป ไตยิป เอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี เรียกร้องให้มีการพูดคุยอย่างจริงใจ เรื่องแหล่งทรัพยากรพลังงานในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่พวกเขากำลังมีปัญหากับกรีซ

ปีนี้ครบรอบ 75 ปีแห่งความร่วมมือแห่งยูเอ็น ปัจจุบันมีรัฐสมาชิกยูเอ็น 193 ประเทศ  เจ้าหน้าที่ยูเอ็นได้แสดงความเห็นหลังการประชุมว่า การระบาดโควิด สะท้อนให้เห็นความไม่เท่าเทียมในระดับประเทศ และเวทีโลก โดยขอเรียกร้องทุกประเทศรับมือการแพร่ระบาด เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนสามารถหาซื้อได้ในราคาย่อมเยา โดยไม่มีการกีดกันแบ่งแยกกัน

WHO ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของปธน.ทรัมป์ว่า ไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนควบคุม WHO เจ้าหน้าที่ทางเท็คนิคได้ส่งสัญญาณเตือนทุกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2563 และได้บอกต่อสื่อมวลชนถึงความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดจากคนสู่คน ของโควิด-19 นอกจากนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ผู้เชี่ยวชาญของWHO ได้เกาะติดหารือกันอย่างกว้างขวาง ร่วมกับประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง