4 โหรดังผ่าดวงเมือง ทายการเมืองระส่ำ รุนแรงต่อเนื่อง! ก.พ.65 มีโอกาสสูงจะเกิดรัฐประหาร?

1909

4 โหรดังผ่าดวงเมือง ทายการเมืองระส่ำ รุนแรงต่อเนื่อง! ก.พ.65 มีโอกาสสูงจะเกิดรัฐประหาร?

จากกรณีที่นักโหราศาสตร์ชื่อดังหลายคน ได้ออกมาทำนายดวงเมืองในปี 2565 ซึ่งมีการทำนายไปในทิศทาง เดียวกัน โดยทำนายว่า ในทางการเมืองยังมีความขัดแย้งที่รุนแรงต่อเนื่อง และสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทยยังคงมีต่อไป ส่วนสถานการณ์โควิด ก็จะคลี่คลายแต่ยังไม่หมดไป

โดยทางด้าน อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ได้ทำนายเอาไว้ว่า ในปี 2565 ดวงเมืองจะอายุครบ 240 ปี และย่างเข้าสู่ปีที่ 241 ดาวเสาร์จะโคจรอยู่ในภพที่สิบของดวงเมืองตรงราศีมังกรตลอดทั้งปี ในทางโหราศาสตร์พยากรณ์มีทั้งเรื่องร้ายดี เกณฑ์ดีให้คุณให้อำนาจแก่รัฐบาล สามารถรักษาอำนาจตำแหน่ง การออกกฎหมายใหม่ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ถ้าตกในเกณฑ์ร้ายสร้างความอับโชคให้กับผู้ปกครองหรือรัฐบาล รัฐบาลขาดความนิยม ประสบความล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวในการเลือกตั้ง หากโยกเกณฑ์ร้ายจากภาพแปด มรณภพก็จะสูญเสียบุคคลสำคัญ รัฐบุรุษ หรือบุคคลชั้นสูงก็จะเจ็บล้มตาย

ราศีมังกรเป็นเรือนชะตาที่สิบของดวงเมือง หมายถึงคณะรัฐมนตรี การบริหารราชการแผ่นดิน ผู้ปกครอง ดาวเสาร์เล็งกับดวงจันทร์ ดวงจันทร์ในดวงเมืองหมายถึงประชาชน พยากรณ์ว่าประชาชนมีความคิดเห็นขัดแย้งกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นการที่เสาร์เล็งจันทร์ก็ทำให้ประชาชนเกิดความยุ่งยาก เดือดร้อน ตึงเครียด ประชาชนก็จะมีความคิดเห็นขัดแย้ง เป็นปฏิปักษ์กับผู้ปกครอง

พระเสาร์เป็นตัวแทนของรัฐบาล ส่วนพระจันทร์เป็นตัวแทนของฝ่ายค้านหรือประชาชนที่มีความเห็นต่างกับรัฐบาล ซึ่งการที่เสาร์มาเล็งจันทร์ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดนั่นเอง เกิดการเผชิญหน้า และเผชิญหน้าไปนานเพราะดาวเสาร์โคจรอยู่ตรงราศีนี้ใช้เวลา 2 ปีครึ่ง ที่ผ่านมาก็ประมาณ 1 ปีแล้ว ความวุ่นวายแบบนี้ก็เหลืออีกประมาณปีเศษๆ

สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกรอบ อ้างอิงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ เกิดการเปลี่ยนรัฐบาล เกิดเหตุจลาจล ปี 2505 คนในชาติแตกแยก รบกันเอง สูญเสียเยอะแยะ ผู้นำประเทศก็มาตายในช่วงดาวเสาร์อยู่ตรงนั้น ต่อมา ปี 2475 ก็เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จนกระทั่งเกิดกบฏ พร้อมกับเตือนให้ระวังทางด้านการเมือง ด้านสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านจิตวิทยาสังคม ต้องระวังเหตุการณ์บ้านเมืองที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อย่าให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเดิม ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็แล้วแต่ ปี 2565 ก็ต้องระวัง เพราะการชุมนุม การประท้วงต่างๆ คงจะไม่หมดไปจากประเทศไทย

ส่วนเรื่องเศรษฐกิจการเมือง ราหูค้นทรัพย์ตั้งแต่ปลายปี 2563 และยังค้นต่อไป จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ปี 2565 ราหูค้นทรัพย์หมายถึงว่ามีเงินในท้องพระคลังเท่าไหร่ก็ถูกค้นและเอามาใช้ จนกระทั่งหมดท้องพระคลัง แล้วก็ต้องไปกู้เงินมา ราหูค้นทรัพย์และทำมุมกับดวงจันทร์เป็นดาวคู่หนี้สิน จะเห็นว่าทั้งภาครัฐทั้งเอกชน เป็นหนี้เป็นสินต้องกู้ยืม ออก พ.ร.ก. กู้เงินหลายครั้ง รวมทั้ง ระบบการเงินเปลี่ยน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะฉะนั้นการจะอยู่รอดก็ต้องรอบคอบ มีเงินมีทองลงทุนต่างๆ ในธุรกิจที่เสี่ยงน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ล่อแหลม

สำหรับ ปี 2565 จะเกิดอุปราคา 4 ครั้ง ครั้งแรกเกิดสุริยุปราคาวงแหวนวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 กระทบตัวประเทศ พื้นที่ดินแดน ประชาชนพลเมือง อำนาจอธิปไตย โดยส่วนรวมทั้งหมด สภาพทั่วไปของความรุ่งเรืองไพบูลย์ และสุขภาพของประเทศด้วย เกิดการผันแปรตามธรรมชาติของราศีที่อุปราคาอุบัติ ปัญหาของประเทศจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ผู้ปกครองหรือรัฐบาลจะได้รับการกระทบกระเทือน และบุคคลสำคัญจะถึงแก่กรรม เกิดความอับโชคแก่สุขภาพของประชาชน และความสำเร็จของประเทศชาติ หรือถ้าเป็นจันทรุปราคา ประชาชนจะเกิดความไม่พอใจและวุ่นวาย กรรมกร ชาวไร่ชาวนา คนส่วนใหญ่เดือดร้อน การนัดหยุดงานก็อาจจะเกิดขึ้น ผู้หญิงและเด็กเกิดความอับโชค

อุปราคาในครั้งที่สอง เป็นจันทรุปราคาเต็มดวง เกิดวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 อุปราคาภายใต้ภพแปดของดวงเมือง บังเกิดความอับโชคแก่ผู้ปกครองและรัฐบาล มีคนตายมาก ถ้าเป็นสุริยุปราคาบุคคลสำคัญบางคนจะถึงแก่กรรม หรือไม่ก็เป็นบุคคลชั้นสูง ถ้าเป็นจันทรุปราคาจะเกิดการตายในหมู่ชนสามัญ และสตรีผู้มีชื่อเสียง สุขภาพอนามัยของประเทศเสื่อมโทรม เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคระบาด อาชญากรรมร้ายแรง หรือเกิดความปั่นป่วนในวงการเงิน

อุปราคาในครั้งที่สาม เป็นสุริยุปราคาวงแหวนของวันที่ 25 ตุลาคม 2565 อุปราคาภายใต้ภพเจ็ดของดวงเมือง การต่างประเทศอาจถูกรบกวน เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นปัญหา และจะก่อให้เกิดความยุ่งยาก เกิดความผันแปรในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจจะทำให้เกิดปัญหาขัดแย้ง มีภัยจากการแข่งขันหรือผู้เป็นศัตรู เกิดความอับโชคแก่รัฐบาล หรือแก่เกียรติของประเทศ

และอุปราคาครั้งที่ 4 สุดท้ายเป็นจันทรุปราคาเต็มดวงของวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ปัญหาของประเทศเกิดการก่อกวนวุ่นวาย ผู้ปกครองหรือรัฐบาลจะได้รับการกระทบกระเทือน บุคคลสำคัญจะถึงแก่กรรม เกิดความอับโชคแก่สุขภาพและความสำเร็จของประเทศชาติ ประชาชนจะเกิดความไม่พอใจและวุ่นวาย กรรมกร ชาวไร่ชาวนาเดือดร้อน สตรีและเด็กก็จะอับโชค

สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทางโหราศาสตร์ยังเป็นช่วงที่ยังไม่ดี ปี 2565 เบาลงแต่ยังไม่หมดไป เพราะดาวมฤตยูจรมาอยู่ตรงราศีเมษซึ่งเป็นราศีธาตุไฟ ทุกครั้งทุกวงรอบ ทุก 84 ปี จะเกิดภัยอาเพศ ภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ภัยจากอมนุษย์ แล้วมฤตยูยังอยู่ตรงนี้จนกระทั่งถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ซึ่งหลังจากนี้โควิดน่าจะคลี่คลาย แต่จะส่งผลด้านอื่นแทน อาทิ การคลัง ภาษีอากร สรรพากร ศุลกากร สรรพสามิต และธุรกิจทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเงิน จะเกิดการเปลี่ยนแปลง จะเป็นการปฏิรูปหรือการปฏิวัติทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง เพราะฉะนั้นรูปแบบทางด้านการเงินและการคลังจะเปลี่ยนอย่างรุนแรง ที่ต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับสถานการณ์อุบัติเหตุ อุบัติภัย และภัยธรรมชาติ มาครบทั้งไฟ ดิน ลม น้ำ ให้ระวังช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม และเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน

ในขณะที่ทางด้าน ฟองสนาน จามรจันทร์ นักโหราศาสตร์สมัครเล่น พยากรณ์ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังเครียดหนี้และเจ็บไข้ได้ป่วยให้รัฐบาลต้องแบกภาระหนักต่อไป แต่ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้น เป็นอาการฟอร์ช็อกนำมาก่อนการเริ่มปฏิวัติใหญ่ทางเศรษฐกิจ เกิดโชคลาภและความสำเร็จในเมืองจากรายได้พิเศษเติมเข้ามาโดยต่างชาติ การเก็งกำไรทั้งตลาดหุ้น หรือนวัตกรรมใหม่ๆ มีเค้าลางปฏิวัติใหญ่ทางเศรษฐกิจ สงครามเศรษฐกิจโลกจะฟาดฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านไม่มีใครยอมใคร การปฏิวัติใหญ่ทางเศรษฐกิจของเมืองรอบนี้ประเทศไทยจะเนื้อหอมสุดๆ ที่หลายประเทศรุมตอมเป็นมิตรชนิดหัวกระไดไม่แห้ง หรืออีกนัยหนึ่งรุมทึ้งหาผลประโยชน์ สิ่งที่จะพาคนไทยรอดได้อยู่ที่ความแพรวพราวทางด้านการทูต

ปี 2565 เข้าสู่โหมดของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เข้าสู่ลางเปลี่ยนใหญ่ผู้นำทางการเมือง หรือผู้นำสำคัญองค์ประกอบพรรคร่วมของรัฐบาล และผู้นำองค์กรต่างๆ ที่สำคัญ ด้านนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ 21เมษายน 2565 – สิ้นปี ไม่ว่าจะมีความผันผวนในการเมืองเพียงใดหากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาสตกผลึกเลือกทางเปลี่ยนแปลงเองว่าจะสู้ต่อหรือเปลี่ยนแปลง (ทั้งยุบสภา หรือลาออก หรือปรับคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนพรรคร่วมรัฐบาล) แทนการถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงแบบหน้าเขียวหน้าเหลือง

แม้การเมืองจะอยู่ในบรรยากาศเปลี่ยนแปลงขนาดไหน เมืองก็มีโอกาสได้นายกรัฐมนตรีออกแนวดี ส่วนรัฐบาลหน้าตาจะออกแนวร้าย น่าขมขื่นสำหรับประชาชน อีกทั้งคนในรัฐบาลก็จะทำพลาดหรือก่อกวนหรือหักหลังกันเอง จนผู้นำรัฐบาลอาจต้องเลือกทางเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนแปลงระดับไหนซีกรัฐบาลก็จะภาระก็จะหนักมากกว่าปีที่แล้ว ส่วนฟากฝ่ายค้านไม่ว่าใครจะมาเป็นก็คงได้อาละวาดเป็นระยะๆ แต่ในที่สุดแล้วทำอะไรไม่ขึ้นเพราะสมาชิกเหมือนคนป่วยกระเสาะกระแสะ

ปี 2565 เป็นปีที่ยังต้องสู้กันในอุดมการณ์-แนวความคิดสำคัญของชาติต่อไปอีกยาวนานประมาณ 18ปี เริ่มที่สถาบันกษัตริย์ และคาดว่ายังจะมีเรื่องอื่นๆ ที่เริ่มปรากฏชัดคือเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งกระทบจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดีมากมายก่อตัวปะทุออกมาเช่นการเกิดของสามนิ้ว คณะราษฎร2563 แต่แม้จะต้องสู้กันต่อไปสถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยน คือตั้งแต่กลางปี 2565 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 อ.พรหมญาณ รัตนญาณพิโมกขิ์ ได้เคยทำนายไว้ว่า ดวงเมืองในช่วงที่ผ่านมาว่าโควิดในประเทศไทยจะกลับมาระบาดในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำเอาผู้คนพูดถึงเรื่องความแม่น ซึ่งเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้เปิดไพ่ทำนายดวงเมืองประเทศไทยอีกครั้ง โดยทำนายว่า โควิด จะกลับมาระบาดหนักช่วง เม.ย. 64  โดยเปิดได้ไพ่พระแม่อุมา หนุมาน พระพิฆเนศทรงหนู ไพ่ 3 ใบดีหมด ทำนายว่า เดือน มิ.ย. กระแสทะเลาะเบาะแว้งเรื่องวัคซีน และการระบาดจะเริ่มลดลง

หยิบไพ่อีก3ใบ พระเพลิง พระพาย เทพพระพุธ กระแสรุมด่าหยาบคายเรื่องวัคซีนรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในสื่อและคุณหมอ ไม่พอใจระบบบริหารจัดการ มีการขุดคุ้ยต่างๆ ส่วนเดือน ก.ค.หยิบไพ่ขึ้นมาแล้ว ทำนายว่า วงการแพทย์จะควบคุมการรักษาได้ดี การบริหารจัดการราบรื่นขึ้นทั้งประเทศ แต่จะมีการรื้อฟื้นคนที่เสียชีวิตหรือได้รับผลจากวัคซีน จากความผิดพลาดของหน่วยงานหรือวัคซีนเห็นผลไม่ดี จะเห็นผลการรักษาที่ผิดพลาด จะเห็นคนทะเลาะเบาะแว้งกัน

นอกจากนี้ โหรวสุ วสุวัส คำหอมกุล นักพยากรณ์ดวงชะตาที่มีชื่อเสียงในเมืองไทย ได้ทำนายดวงเมืองช่วง ต.ค – ธ.ค. 64 โดยทำนายว่า การเมืองในครึ่งปีจะมีแต่ปัญหาการทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพของคณะรัฐมนตรี กับหน่วยงานราชการ ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคประชาชน และธุรกิจที่รู้สึกสับสนกับการประกาศนโยบาย หรือความช่วยเหลือต่างๆ ที่กลับไปกลับมา โดยเฉพาะช่วง ก.ย. – ต.ค. ที่พอมีประกาศนโยบายใดๆ ไปแล้วก็เกิดทะเลาะกันระหว่างหน่วยงานจนต้องยกเลิกประกาศเดิมแล้วกลับมาแก้ไขใหม่ ส่งผลทำให้ช่วงปลายปี สถานะของรัฐบาลจะไม่ค่อยมั่นคงนัก และอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และกลุ่มนักธุรกิจเหมือนเก่า รวมถึงการแตกคอกันในพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเรื่องแก้ไขรธน. และนโยบายต่างๆ ซึ่งในช่วงเดือนพ.ย. 64 – ก.พ 65 มีโอกาสสูงที่จะมีการประกาศยุบสภา หรืออาจจะเกิดรัฐประหารยึดอำนาจจากกองทัพในช่วงนั้นด้วย