สหรัฐโงหัวไม่ขึ้น!? วิกฤตขนส่งอัมพาต ส่อลากยาวถึงปีหน้า

1533

ชาวอเมริกันเริ่มเบื่อหน่ายกับนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มากขึ้นเรื่อยๆ โดยชี้ไปที่ชั้นวางที่ว่างเปล่าทั่วประเทศ และศูนย์กลางการขนส่งสินค้าว่าเป็น “ข้อพิสูจน์” ว่ารัฐบาลไบเดนไร้ความสามารถ ล่าสุดรัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐฯออกมายอมรับว่า วิกฤตห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนของสหรัฐอเมริกาเข้าขั้นล้มละลายและจะลากยาวเข้าสู่ปี 2022 อย่างแน่นอน

หัวข้อเยาะเย้ยรัฐบาลสหรัฐของคนอเมริกันที่กำลังเป็นที่นิยมของTwitter คือ”Bare Shelves Biden” และ”Empty Shelves Joe” เนื่องจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมนายพีท บุดดิเจต (Pete Buttigieg) ว่าพวกเขาไม่สามารถนำสินค้ามาวางไว้ในสต็อกได้ แม้ว่าเรือบรรทุกสินค้าเต็มไปด้วยสินค้าที่กองอยู่ รออยู่ตามชายฝั่งก็ตาม

รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ ยอมรับว่าห่วงโซ่อุปทานของประเทศพังทลาย และยังคงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่อยืดเยื้อไปถึงต้นปีหน้า

เขากล่าวแก้เกี้ยวว่า “เป็นเพราะยอดค้าปลีกทะลุเพดาน” “และถ้าคุณนึกถึงภาพเรือเหล่านั้น เช่น จอดทอดสมอบนชายฝั่งตะวันตก ทุกลำนั้นเต็มไปด้วยปริมาณสินค้าที่ชาวอเมริกันสั่งซื้อเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากความต้องการเพิ่มขึ้น และแสดงว่าคนอเมริกันมีรายได้เพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะประธานาธิบดีประสบความสำเร็จในการฟื้นเศรษฐกิจนั่นเอง”

แต่เขายอมรับว่า“ห่วงโซ่อุปทานของอเมริกาไม่สามารถตามทัน กระแสความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น” บุดดิเจต กล่าวว่า รัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมการขนส่งเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา วิกฤติซัพพลายเชนอย่างเต็มที่  ฝ่ายบริหารยังทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐเพื่อเร่งการออกใบอนุญาตให้ผู้ขับขี่รถบรรทุกรายใหม่ ให้สามารถทำงานให้เร็วขึ้น เป็นต้น

บุดดิเจตไม่ได้กล่าวถึงความพยายามในการบรรเทาปัญหา กฎหมายการปล่อยมลพิษของแคลิฟอร์เนียซึ่งถูกชี้ว่าเป็นต้นตอทำให้เกิดวิกฤต ขาดแคลนกองรถบรรทุกของสหรัฐฯ เพราะรถบรรทุกส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษใหม่ของรัฐบาล ที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซ้ำเติมปัญหาคนมะกันผละงาน ลาออกมากอย่างเป็นประวัติการณ์อีก

เป็นเวลานานถึงสามสัปดาห์ ที่เรือคอนเทนเนอร์หลายสิบลำจากจีนและ ประเทศอื่นๆถูกบังคับให้จอดทอดสมอนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย เพราะไม่มีรถบรรทุกมารบขนถ่ายสินค้า  สหรัฐฯ จึงประสบปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคและวัสดุที่จำเป็นสำหรับผู้ผลิตเพื่อให้การดำเนินงานดำเนินต่อไป 

รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเร่งพยายามบรรเทาฝันร้ายเรื่องห่วงโซ่อุปทานที่นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนสินค้า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น และอาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยืดเยื้อไปถึงต้นปีหน้า

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะได้จัดประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาคอขวดด้านการขนส่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และมีกำหนดจะแถลงหลังจากเสร็จสิ้นการหารือร่วมกับการท่าเรือ สมาคมรถบรรทุก สหภาพแรงงาน และผู้บริหารจาก Walmart, FedEx, UPS และ Target

“ห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในภาคเอกชน ดังนั้นเราจึงต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้” เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งในฝ่ายบริหารของไบเดนกล่าว พร้อมเสริมว่า ทำเนียบขาวหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะกระตุ้นให้บริษัทอื่นๆ ทำตามด้วยการเร่งดำเนินการในส่วนของตนเองเช่นกัน

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเปิดเผยว่า ทำเนียบขาวจะทำงานร่วมกับบริษัทและท่าเรือต่างๆ ​​เพื่อบรรเทาปัญหาคอขวดภายในระยะเวลา 90 วัน โดยบางหน่วยงานจะเริ่มทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด เพื่อจัดการกับสินค้าคงค้างที่รอส่งมอบ

แต่จนปัจจุบันนี้สภาพการณ์ที่ตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 250,000 ตู้ที่รอการขนถ่ายในท่าเรือสหรัฐ หรือรถไฟสำรองและรถบรรทุกที่ทำงานหนักเกินไป ยังดำเนินอยู่อย่างไม่ได้มีการแก้ไขเป็นรูปธรรม

สถานการณ์เลวร้ายด้านซัพพลายเชน เป็นผลมาจากปัญหาที่ทับซ้อนกันหลายอย่าง ตั้งแต่การขาดแคลนแรงงาน ไปจนถึงปัญหาการออกกฎระเบียบด้านการขนส่งและสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ไบเดนสั่งให้ท่าเรือลอสแองเจลิสทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่อธิบายรายละเอียดว่าจะมีเจ้าหน้าที่อย่างไร หรือโดยใคร ไม่มีมาตรการหรือนโยบายอื่นๆนอกจากประชุมภาคเอกชนขอความร่วมมือ นอกจากนี้รมว.คมนาคมยังย้ำอีกว่า ปัญหาเหล่านี้จะแก้ตกไปเมื่อ รัฐบาลได้งบฯ3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสียก่อน ฟังแล้วคนอเมริกาก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า หมดหวังซะจริงๆ??