เละจุดไม่ติด “เต้น-บก.ลายจุด” เรียกมวลชนมาหลักร้อย “แรมโบ้” เย้ยคนรู้ไส้รู้พุง จ้องป่วนชาติ

1778

จากกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังจากทราบผลการโหวตลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “ประยุทธ์ยังอยู่ เราก็ยังไล่ 5 ก.ย. แยกอโศก 4 โมงเย็น สู้ด้วยกัน ไล่ด้วยกัน #ไล่ประยุทธ์” ผ่านอภิปรายแล้วไง คุณซื้อได้แต่ส.ส. อย่าหมายได้หัวใจประชาชน เราไม่ยอมรับ และไม่ยอมแพ้

โดยบรรยากาศการชุมนุม ม็อบ 5 กันยา บริเวณแยกอโศกมนตรี พบว่ามีกลุ่มมวลชนทยอยเดินทางมาปักหลัก ตั้งแต่เวลา 15.30 น. ซึ่งมีคนมาร่วมประมาณหลักร้อยคนได้ และรอฟังการปราศรัย ถือว่าการชุมนุมเมื่อวานนี้นั้นไม่คึกคัก เหมือนกับวันที่ 4 ก.ย. ที่ช่วงเย็นฝนตกหนัก จนม็อบหนีกระเจิง ไม่ทันได้อยู่ฟังการปราศรัย ทำให้นายนายธนัตถ์ ธนากิจอํานวย หรือลูกนัท สั่งประกาศยุติการชุมนุมด่วน ทั้งนี้กระแสบนโลกโซเชียลก็มีการพูดถึงม็อบของนายณัฐวุฒิน้อยมาก

ล่าสุดนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำนปช. ว่าไม่ยอมรับสิ่งเกิดขึ้นในสภาฯ และนายกฯไม่ใช่นายกฯอีกต่อไป พร้อมกับยอมรับว่ามีความกังวลเรื่องโรคระบาด ที่เป็นข้อจำกัดในการชุมนุม การปักหลักค้างแรม ก่อนหน้านี้ตนเองเคยเตือนนายณัฐวุฒิและนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวในขณะที่มีการระบาดเชื้อโควิด-19 เพราะอาจจะเกิดคลัสเตอร์ขึ้นมาใหม่และเป็นภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งแกนนำอย่างนายเพนกวิน นายอานนท์ นายไมค์ น.ส.รุ้ง ปนัสยา และอีกหลายคนก็เคยติดเชื้อโควิดจากการชุมนุมมาหมดแล้ว ทำให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ผู้ชุมนุมกว้างมากขึ้น

การที่นายณัฐวุฒิและนายสมบัติ ออกมากังวลว่าโรคระบาดเป็นข้อจำกัดในการชุมนุม และไม่สามารถค้างคืนค้างแรมได้ ซึ่งตนมองว่าเหตุผลของนายณัฐวุฒิและนายสมบัติฟังไม่ขึ้น แท้ที่จริงควรคิดควรพูดก่อนการออกมาชุมนุม ตนและทุกฝ่ายก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ควรออกมาชุมนุม การที่ประชาชนไม่ร่วมการชุมนุม เพราะให้ความร่วมมือต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิดและรู้ว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และมวลชนส่วนใหญ่รู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ว่า

“นายณัฐวุฒิและนายสมบัติเดินตามม็อบ 3 นิ้วที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ยิ่งนายณัฐวุฒิมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยเข้าร่วมชุมนุมปี 53 รู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่าหากเข้าร่วมการชุมนุมจะตกเป็นเครื่องมือของนายณัฐวุฒิที่หลอกให้ออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อนายใหญ่ ที่อยู่ต่างประเทศและสู้เพื่อพรรคการเมืองของนายใหญ่ หากสำเร็จก็จะได้โบนัสก้อนใหญ่ เหมือนที่เคยได้รับมาแล้ว สุดท้ายก็ทิ้งมวลชนคนเสื้อแดง

ไม่ได้สู้เพื่ออุดมการณ์อะไรเลย หวังเพื่อผลประโยชน์ตัวเองมากกว่า มวลชนจึงไม่เชื่อถือ เพราะผลจากการกระทำในปี 53 เป็นเครื่องชี้วัดอยู่แล้วว่าสู้เพื่ออะไรกันแน่ จากคำว่า ไพร่กลายไปเป็นรัฐมนตรี เดินทางไปไหนมีรถตำรวจนำหน้า เสื้อไพร่สีแดงไม่ควรนำมาใส่หลอกลวงมวลชน เพราะไม่มีใครเชื่อถือแล้ว”


ส่วนที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุดปราศรัยปลุกระดมมวลชนว่า ถ้าประชาชนล้าก่อน พล.อ.ประยุทธ์จะปิดเกม ตนก็มองว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และนายกฯก็คงไม่ได้ไปปิดเกมใคร ซึ่งคนที่จะเปิดเกมตัวเองน่าจะเป็นตัวนายณัฐวุฒิ และนายสมบัติมากกว่า เพราะยิ่งเคลื่อนไหวคนเข้าร่วมชุมนุมก็ยิ่งน้อยลงนั้น เป็นเพราะมวลชนรู้ทันหมดแล้วและนายสมบัติก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคดี เพราะการเคลื่อนไหวผิดทั้ง พ.ร.ก ฉุกเฉิน พ.ร.บ. โรคติดต่อ ผิดกฎหมาย อาญาม.116 และอื่น ๆ อีกหลายกระทง

“ผมและทนายความจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิ นายสมบัติและพวกเพิ่มเติม ที่สน.ทองหล่อ ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะความผิดของคนพวกนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ บ้านเมืองต้องยึดกฎหมาย ใครทำผิดต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเด็ดขาด”

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่นายณัฐวุฒิประกาศจะออกมาชุมนุมที่แยกอโศกมนตรีจนกว่านายกฯ จะลาออกนั้น กลับพบว่ามวลชนมาร่วมจำนวนน้อย บรรยากาศไม่คึกคักตามที่เจ้าตัวปลุกระดมไว้ คาดว่าหากยังมีมวลชนมาร่วมน้อย การชุมนุมแบบปักหลักปราศรัยจะจุดไม่ติดอีกต่อไป เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วย