มิคสัญญี ที่อเมริกา ขยายวงกว้าง

2064

มิคสัญญี ที่อเมริกา ขยายวงกว้าง
ตำรวจ ปะทะเดือดผู้ประท้วง อ้างต้นเหตุความรุนแรง
มะกันเดือด โควิดเพิ่งซา ฆ่าคนดำมาปะทุเพิ่ม ขยายความเกลียดชังท่ามกลางวิกฤติทั่วด้าน
ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดศึกรอบตัว ผู้นำจะรับมืออย่างไร แล้วคนอเมริกันจะอยู่กียอย่างไร
กรณีนายฟลอยด์ คนขับรถฯผิวดำถูกตำรวจผิวขาวจับ แล้วถุึงแก่ความตายโดยไร้เหตุอันควร
สร้างความเจ็บช้ำแก่ชาวผิวดำที่ต้องรองรับ พฤติกรรรมเหยียดผิวที่แฝงอยู่ในสังคมอเมริกัน
มานานนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้จึงหมดความอดทน จนบานปลายเกิดเป็นความขัดแย้ง
ความรุนแรงปะทุ จากจุดเริ่มต้นที่มินนิแอโปลิส ขยายลุกลามไปทั่วหลายเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ
ยังไม่มีที่ท่าลดลง เมื่อกองกำลังพิทักษ์ชาติและตำรวจท้องที่ปะทะกับผู้ประท้วง
โดยไม่มีใครยอมลดลาวาศอก ต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นต้นตอความรุนแรง
สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตผู้คน
ผู้ประท้วงที่อยู่บนท้องถนนในมินนิแอโปลิสมาตั้งแต่คืนวันจันทร์จนถึงคืนวันเสาร์
ซึ่งนับเป็นคืนที่ห้าของการก่อหวอด ได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลีงพิทักษ์ชาติ
ทั้งนี้การประท้วงบานปลายไปหลายเมืองทั่วประเทศ
การแสดงออกถึงความโกรธแค้นของประชาชนต่อการตายของคนผิวดำ
ที่ถุกกระทำโดยตำรวจผิวขาว ปฏิกิริยารุนแรงมีแต่ขยายวงไม่มีทีท่าจะหยุดติแต่อย่างใด
ล่าสุดที่เมืองแนชวิลล์ ผู้ประท้วงจุดไฟเผาศาลากลางเมือง
ขณะที่ในเวลาใกล้เคียงรถเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเผาโดยผู้ประท้วงในนครนิวยอร์ค
แม้ผู้ว่าการฯรัฐต่างๆที่เกิดเหตุจะห้ามปรามถึงพวกหัวรุนแรง ให้หยุดยั่วยุแค้ไมีมีใครสนใจฟัง
ที่ลอสแองเจลิส
ผู้ประท้วงชูประเด็นเก่าที่คนผิวดำถูกตำรวจทำให้เสียชีวิตอย่างไม่สมเหตุผลแล้วลอยนอล
เทียบกับกรณีฟรอยด์ฯว่าผลก็คงจะเหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ต้องระมัดระวังตัวเองอย่างยิ่ง
เพราะกลายเป็นผู้ถูกกระทำความรุนแรงทั้งฝั่งตำรวจและฝั่งประท้วง
ประมาณว่าไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว

(NBCNews, NewYorkTimes)

ไม่ไหว…บอกไหว จลาจลขยายวงทั่วสหรัฐ
ทรัมป์แนะส่งทหารคุมสถานการณ์ ผู้ว่ารัฐฯยังยื้อ

ที่วอชิงตันดีซี ผู้ประท้วงเคลื่อนพลไปยังทำเนียบขาวประธานาธิบดีและเผขิญหน้ากับตำรวจ
พวกเขาส่งเสียงตะโกนและขูป้าย “Black lives matter” ประธานาธิบดี โดนัลด์
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ่นว่า
“พวกประท้วงเรียกร้องด้วยวิธีการดุร้ายป่าเถื่อนกับบ้านเมือง
พร้อมมีอาวุธข่มขวัญครบมืออย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน” และโจนาธาน ราฟท์ ฮอร์ฟแมน,
โฆษกเพ็นตาก้อนขานรับทันทีว่ากองทัพแห่งชาติพร้อมสนับสนุนพื้นที่ทันทีภายใน 48 ชั่วโมง
ทรัมป์กร้าว “กองทหารเราพร้อม จัดการได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ร้องขอ
และสามารถให้กองกำลังเคลื่อนที่ภาคพื้นดินเข้าไปดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ต้องการ”
อีกทั้งทวิตข้อความในทวิตเตอร์ว่า
“การปลุกระดมข้ามรัฐคืออาชญากรรมระดับชาติ!
รีฐบาลแห่งพรรคลิเบอร์รัลและนายกเทศมนตรีผู้รับผิดขอบ ต้องปฏิบัติการร่วมกันอย่างใกล้ขิด
กระชับรวดเร็ว หรือ รัฐบาลแห่งชาติจะต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน ทำในสิ่งที่ต้องทำ
ขณะเดียวกันย่อมสามารถใช้อำนาจอันไร้ข้อจำกัดในการปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายทั้งด้านก
ารทหารและการจับกุมระงับยับบั้งความรุนแรง”
ผู้ว่าการมลรัฐมินนิเอโซต้า, ทิม วอลซ์
ยืนยันไม่ได้ร้องขอการสนับสนุนทางทหารจากเพ็นตาก้อนแต่อย่างใด “ฝ่ายคนขาวชังผิวสี
และฝ่ายพวกประท้วงต่างก็อาศัยประเด็นการตายของฟรอยด์ก่อจราจล…เราอยู่ในระหว่างการเจ
รจา ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อพูดคุยแก้ปัญหา และแยกพวกหัวรุนแรงออกมาให้ชัดเจน”
วอลซ์กล่าว
10 เมืองใหญ่ในสหรัฐลุกขี้นประท้วงอย่างพร้อมเพรียง จากลอสแองเจลิส ไปยัง ไมอามี
สู่ชิคาโก ผู้ประท้วงชูป้าย “ผมหายใจไม่ออก” จุดไฟแค้นด้วยเสียงร้องของผู้ตาย
สะท้อนความอำมหิตของลัทธิชังเชื้อชาติที่ฝังลึกในสีงคมอเมริกัน การตายของจอร์ช ฟลอยด์
ไม่ใข่คนแรกและไม่มีวันเป็นคนสุดท้าย พวกเขาเชื่อเช่นนั้น
จึงไม่อาจดับไฟแค้นที่คุกรุ่นมานมนาน ฝังกลบอำพรางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนขาวใส่สูท
แม้การประท้วงในเมืองมินเนอาโปลิสต้นเรื่อง จะเริ่มด้วยความสงบ
แต่ไม่นานก็ปะทุระเบิดอารมณ์อั้นไม่อยู่ ด้วยท่าทีของตำรวจ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น
และเพ็นตาก้อนเอง ต่างไม่ให้ความสำคีญกับกรณีนี้ และขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ขัดความรู้สึกของประชาชน ที่ต้องอดทนกับแรงกดดัน ทั้งโรคภัยไข้เจ็บอันตราย โควิด-19
ทั้งปัญหาความรุนแรงจากอคติทางเชื้อชาติ ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจคกต่ำต่อเนื่อง
คนตกงานนับล้านมาตึ้งแต่ก่อนวิกฤติโควิด-19 คุกคามเป็นทางการด้วยซ้ำ
ผู้ประท้วงทำการปิดกั้นการขนส่งคมนาคมในเมือง, เผาสถานที่ต่างๆ และปะทะกับตำรวจท้องที่
ซึ่งขว้างแก็สน้ำตา ยิงกระสุนยางใส่ฝูงชน

Cr: Washington Post, NBCnews

รากเหง้ารุนแรง ส่งสังคมอเมริกันสู่กลียุค
“the looting starts, the shooting starts. Thank you!
“เมื่อการปล้นสะดมภ์เริ่มต้น…การยิงตอบโต้ย่อมเริ่มขึ้น, ขอบคุณ! ทรัมป์ทวิค
สิ้นเสียงขู่่อย่างโอหังของทรัมป์ ไม่นานภาพและรายงานคนล้มตาย
บาดเจ็บเริ่มขึ้นทัี้งฝั่งผู้ประท้วงและฝั่งตำรวจของรัฐบาลในท้องถิ่น
หลายเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาลุกเป็นไฟ!
รายงานล่าสุด (31/05/2020) มีคนตายจากการประท้วง อย่างน้อย 4 คนบาดเจ็บอีกประมาณ
13 คน ทั้งฝ่ายก่อการ เจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป ไม่เว้นนักข่าว
บางส่วนถูกจับและมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อกระแสความรุนแรงแผ่ซ่านไปกว่า 75 เมืองแล้ว
เมื่อปีกลายนางแนนซี่ เปโลซี ประธานสภาผู้แทนสหรัฐฯ
ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการประท้วงรุนแรงในฮ่องกงว่า
“เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย มาครี้งนี้ บรรณาธิการข่าว GlobalTimes
อดไม่ไหวส่งภาพแซะอเมริกันจอมเหยียดได้แสบสันต์
“ภาพแห่งความสวยงามได้ปรากฏขึ้นจากฮ่องกงขยายไปยังหลายสิบเมืองในอเมริกาแล้วหนา
มิสแนนซี่และมิสเตอร์ปอมเปโอและนักการเมืองอเมริกันสามารถทัศนาดูได้อย่างใกล้ชิดจากริมห
น้าต่างบ้านของตัวเองแล้ว”
ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19
สหรัฐอเมริกาประสบชะตะกรรมสาหัสจากผู้ติดเชื้อสะสมและเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก
และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายและจบลงเมื่อใด ผลกระทบที่ตามมา
ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า
ทั้งปัญหาเชิงยุทธศาสตร์การเมืองการทหารก็รุมเร้า
ทำให้ทรัมป์แสดงบทประหนึ่งคนคุ้มคลั่งคุมสติแทบไม่ได้ และตอบโต้ทุกฝ่ายแบบจับทางไม่ถูก
นั่นเป็นเพียงแค่การแสดง ทุกอย่างล้วนมีที่มา
อดีตวิถีชีวิต ประเพณีและความเชื่อของพวกอินเดียนแดง
หรือผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอาศัยดั้งเดิมมาในแผ่นดินอเมริกา
คือรากเหง้าที่แท้จริงนับเนื่องแต่ดั้งเดิมหลายพันหลายหมื่นปี จนกระทั่งคริสโตเฟอร์
โคลัมบัสเดินทางมาถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ฉากการล่าอาณานิคมโลกจึงได้เริ่มขึ้น
พวกอินเดียนแดงถูกฆ่าตายอย่างเป็นระบบโดยคนขาวที่อพยพมาจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษก็
เพื่อลบล้างประวัติศาสตร์ของผู้เป็นเจ้าถิ่นดั้งเดิม

อินเดียนแดงที่่ยังพอมีชีวิตอยู่จำนวนน้อยนิดได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่ค่อยๆถูกกลืนเข้าไปในร
ะบบคิด และวัฒนธรรมใหม่ในนามความทันสมัย ภาพอดีตที่แท้จริงบ่งบอก สำหรับสหรัฐอเมริกา
ใครไม่สยบ ต้องถูกรุกทำลายจนสิ้นซาก

สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน เพื่อรักษาธำรงไว้ถึงความเป็นหมายเลข 1 ของโลก
สหรัฐอเมริกาไม่เคยหยุดแสวงหาความมั่งคั่งในแผ่นดินอื่นๆทั่วโลกด้วยสรรพกลยุทธ์ กลวิธี
ทั้งทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมผ่าน แผนการให้ความช่วยเหลือ
และโครงการฟื้นฟูประเทศต่างๆหลังสงครามใหญ่ ครั้งที่ 1และ 2
ด้วยแนวคิดอัตลักษณ์ ผลประโยชน์และความมั่นคง
ทำให้สหรัฐฯดำเนินนโยบายเด็ดเดี่ยวยึดถือแนวความคิดที่อยู่เหนือชนชาติอื่น
(ปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้จัดตั้งเป็น หน่วยความคิดสารพัดชื่อ เข้น KKK: Klue Kluck Klan,
กลุ่มนิโอนาซี , กลุ่มเรดเน็ค ฯลฯ) คนเหล่านี้เป็นฐานประชากรจำนวนมากของสหรัฐ
และเป็นผู้นิยม ทรัมป์ และมองประเทศอื่นไม่อารยะเท่าตน
วันที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ของศตวรรษที่ 20 และกำลังถูก Disrubtion สู่่ Digital Age
บนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่า ‘ดินแดนแห่งเสรีภาพ’ กลับฉายภาพ “นรกบนดิน”
อย่างน่าสยดสยอง เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงปัญหาการเหยียดและต่อต้าน
‘ความเป็นอื่น’ ที่ฝังรากลึกทั้งเกลียดและกลัวในสังคมอเมริกันมายาวนาน
เป็นแง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงกับ ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจภายในประเทศ
และต่างประเทศอย่างแยกไม่ออก
จับตาดูพัฒนาการของความรุนแรง และบทบาทของแต่ละฝ่าย
เราจะได้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่าน ชัด..และชัดขึ้น
…………………………………………………..
///31/05/2020