กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสีกากีขึ้นมาอีกครั้ง ทันที่มีชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) และคณะทำงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังในวงการตำรวจ ก่อนจะหายเงียบไป และมาปรากฏเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลงนามในคำสั่งเพื่อโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้ารับราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การกลับมาของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในครั้งนี้ ที่หลายคนฮือฮา ไม่ใช่แค่ในแวดวงตำรวจเท่านั้น เพราะกลับคืนมายังถิ่นเดิมในตำแหน่ง ผบช. และมีรายงานอีกว่า ในวันที่ 12 มี.ค.นี้
จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช.มีวาระเพื่อเปิดตำแหน่ง 8 ตำแหน่ง ระดับผู้บังคับการ(ผบก.)ยศ พล.ต.ต. 4 ตำแหน่ง และผู้บัญชาการ (ผบช.) ยศ พล.ต.ท. 4 ตำแหน่ง
ทำให้มีการคาดการณ์ว่า หนึ่งในตำแหน่งระดับ ผบช.เป็นไปได้ว่าจะเป็นการรองรับการกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ด้วย และตำแหน่งนี้มีลุ้นที่จะได้ขึ้นเป็นผบ.ตร. คนต่อไป
ล่าสุดทางด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ตอบข้อซักถามประเด็นสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่องโอน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม ว่าเรื่องของเอกสาร ถ้าจะมีเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่จะประมวลเสนอตนเองในฐานะ ผบ.ตร. แต่ตอนนี้ส่วนตัวยังไม่เห็นหนังสือดังกล่าว แต่ได้คุยกับทางเจ้าหน้าที่ไว้ถ้ามีหนังสือมาก็ขอให้รีบประมวลเสนอมา
พร้อมระบุว่า เรื่องการจะขอโอนหรือขอรับโอนใครก็แล้วแต่ มีกฏกติกาอยู่แล้ว ส่วนการขอจะขอโอนอย่างไรนั้น ก็ต้องเริ่มจากความต้องการของหน่วย ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับคนที่จะมาด้วยว่าพร้อมหรือไม่ แต่ใครจะเริ่มกระบวนการเมื่อไหร่อย่างไร ขอให้ดำเนินการให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งตามขั้นตอนต้องผ่านการพิจารณาของ ก.ตร.และ ก.ต.ช.หากได้ข้อยุติและดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วจะมีการแถลงให้ทราบในรายละเอียด
เมื่อถามว่ากระบวนการทั้งหมดน่าจะจบที่เมื่อไหร่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า อยู่ที่การประชุม ก.ตร. ว่าผ่านอะไรยังไง ขอเป็นพรุ่งนี้ (12 มีนาคม) แล้วกัน
ถามต่อว่าตำรวจที่ถูกย้ายไปขาดจากตำรวจ พอกลับมาเป็นตำรวจใหม่ ขั้นตอนปฎิบัติมีอะไรบ้าง ผบ.ตร. กล่าวว่า ขั้นตอนส่วนใหญ่ก็ต้องดูว่าเมื่อกลับมาแล้ว เหมาะสมกับตำแหน่งไหน แล้วตำแหน่งนั้นเรามีหรือไม่ ถ้ามีและก็ความต้องการของคนที่มาตรงกัน อยู่ในหลักและกติกา อยู่ในกรอบกฎหมาย ก็สามารถบรรจุลงในตำแหน่งได้ เมื่อลงไปแล้วก็ต้องทำหน้าที่ที่บรรจุไว้ในตำแหน่ง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าผบ.ตร.ไม่ได้ทำหนังสือขอรับตัวกลับใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ให้มันจบกระบวนก่อนแล้วมาจะตอบให้ ทิ้งไว้แบบนี้ก่อน ในเมื่ออะไรมันก็ยังไม่เป็นทางการ เอกสารอะไรอยู่ตรงไหน ยังไงเอาให้จบ ตรงนี้ก่อน ส่วนตำแหน่งเมื่อกลับมานั้น ตามระเบียบแล้วตำแหน่งอาจเท่าเดิม แต่ไม่น้อยกว่าเดิม หรือสูงกว่าได้ แต่ต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ขอให้ชัดเจนก่อน
“ไม่ได้รู้สึกหนักใจหรือกังวลใจ แต่โดยส่วนตัวไม่เข้าใจทำไมสนใจเรื่องนี้กันเยอะและทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบ” ผบ.ตร.ระบุ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ผบ.ตร. ได้หมายตาไว้ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รับผิดชอบอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตนคงไม่ได้หมายตาอะไร เดี๋ยวคอยดูไป เพราะ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นคนมีความสามารถ
ผบ.ตร. กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงสนใจกันมากมาย ตำรวจมีตั้ง 2 แสนกว่านาย และทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำไมไม่มีใครไปสอบถาม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคลเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน อย่างไรก็ดีในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีกรณีเดียวกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และที่ขอย้ายออกไปกลับเข้ามาก็มี
ทั้งนี้พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.คนปัจจุบัน อายุ 59 ปี และอีก 1 ปี ที่จะได้กุมอำนาจในสตช. ก็จะต้องเปลี่ยนมือให้บิ๊กตำรวจคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ดังนั้นน่าจับตามองอย่างยิ่งว่าหากคนที่จะขึ้นมาเป็นผบ.ตร. คนต่อไปคือ “บิ๊กโจ๊ก” จะมีการตามเช็คบิลขบวนการเก่าที่เป็นพวกพ้องของ”บิ๊กแป๊ะ” หรือไม่ เนื่องจากได้ส่งเพื่อนและน้องคนสนิทอย่าง “บิ๊กปั๊ด” ขึ้นรับตำแหน่งผบ.ตร.
เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องผิดใจและเกาเหลากับ “บิ๊กแป๊ะ” ทั้งความคลุมเครือเรื่องธุรกิจสีเทา ตามมาด้วยเหตุการณ์ยิงรถ ที่ยังหาตัวคนทำผิดไม่ได้ และทำให้ต้องเดือดร้อนไปถึงขาเก้าอี้ของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา มาแล้วด้วย เป็นประเด็นการเมืองร้อน ๆ ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด ว่าหลังจากนี้จะมีประเด็นเดือดอะไรเกิดขึ้นในสตช.ได้อีกบ้าง