ทรัมป์โว?!? วัคซีนต้านโควิด-19 สำเร็จก่อนเลือกตั้ง CDCแจ้งสาธารณสุขทั่วสหรัฐแล้ว ยอดสมัครใจฉีดแค่ครึ่งเดียว?!?แพทย์กังวลว่าเร็วเกินไป 

1939

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐประกาศจะอนุมัติวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เดือนตุลาคมนี้ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน ยืนยันวัคซีนสหรัฐฯจะปลอดภัย และมีประสิทธิภาพอย่างมาก และจะมีการวางจำหน่ายในไม่ช้านี้ พร้อมชูประเด็นใหม่ทุกอย่างต้อง “Made in America”การผลิตวัคซีน อุปกรณ์ใส่ต้องทำในสหรัฐฯเท่านั้น ขู่ใครลงทุนในจีนจะไม่ได้งานรัฐบาลรวมทั้งมาตรการลงโทษต่างๆ ขณะที่ CDC ยืนยันว่าได้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 50 มลรัฐ ให้เตรียมแจกจ่ายวัคซีนก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของนายแพทย์ใหญ่เฟาซี่แห่ง CDC เองและผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขของสหรัฐ

ที่ทำเนียบขาว, ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์ (7 ก.ย.2563)ในงานแถลงข่าวประจำวันว่า “แทนที่จะต้องใช้เวลานานถึง 2 หรือ 3 ปี เราควรใช้เวลาสั้นๆ ในการอนุมัติวัคซีนต้านโควิด-19 และการอนุมัติควรจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนต.ค.” นอกจากนี้ เขาจะลดระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีน พร้อมขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษ บริษัทของสหรัฐที่ไปสร้างงานในต่างประเทศ และจะกีดกันบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีนไม่ให้ได้รับสัญญาทางธุรกิจกับรัฐบาลกลางสหรัฐอีกต่อไป

“เราจะผลิตชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในด้านการผลิตภายในประเทศของเรา เราจะให้เครดิตภาษีแก่สินค้าที่ตีตรา ‘Made in America’ และเราจะนำตำแหน่งงานกลับคืนสู่สหรัฐ ขณะเดียวกันเราจะเรียกเก็บภาษีบริษัทที่ออกไปสร้างงานในจีนและในประเทศอื่นๆ หากบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถทำธุรกิจในสหรัฐได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาเสียภาษีก้อนใหญ่เพื่อจะออกไปสร้างงานในต่างประเทศ และส่งสินค้ากลับมาขายในประเทศเรา” ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์

สำนักข่าวหลายแห่งในสหรัฐฯรายงานในวันพุธ(2 ก.ย.2563)ว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ: CDC ได้ส่งบันทึกความยาว 4 หน้าไปยังสำนักงานสาธารณสุขของรัฐต่าง ๆ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ให้จัดเตรียมแผนการแจกจ่ายวัคซีนให้พร้อมภายในวันที่ 1 ตุลาคม เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่จะมีวัคซีนโควิด-19 อย่างเร็วที่สุดก่อนสิ้นเดือนตุลาคม

บันทึกของนายแพทย์โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผอ.CDC ยังถูกส่งไปให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเมืองใหญ่ต่าง ๆ เช่น นครนิวยอร์ก นครชิคาโก นครฟิลาเดลเฟีย และนครฮิวส์ตัน เช่นกัน โดยระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งพนักงานของสถานพยาบาลต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ในงานสำคัญของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนคนอเมริกันอายุเกิน 65 ปี และประชากรของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ควรเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีนนี้

ข่าวเรื่องบันทึกของ CDC ดังกล่าว สอดคล้องกับคำกล่าวของนายแพทย์แอนโธนี เฟาชี่ ผอ.สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าตนมีความมั่นใจว่าจะมีวัคซีนที่ปลอดภัยและได้ผลจริงออกมาใช้ก่อนสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เฟาชี่ ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สิ่งที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็คือ การเร่งอนุมัติให้ใช้วัคซีนฉุกเฉินก่อนที่จะมีการพิสูจน์ประสิทธิผลที่แท้จริงของวัคซีนนั้น ซึ่งจะทำให้เป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้มีผู้เข้าร่วมในการทดลองวัคซีนชุดต่อ ๆ ไป

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ยังต้องมีขั้นตอนอีกหลายอย่างสำหรับรัฐต่าง ๆ ในการเตรียมตัวสำหรับโครงการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในวันที่ 1 พ.ย. รวมทั้งการขาดแคลนงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการแจกจ่ายวัคซีนด้วย

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้แสดงความกังวลว่าสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) กำลังเผชิญแรงกดดันจากทำเนียบขาว ให้ทำการอนุมัติวัคซีนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.63 ขณะที่ชาวอเมริกันอาจไม่เต็มใจที่จะฉีดวัคซีนหากเชื่อว่า วัคซีนถูกเร่งเข้าสู่ตลาดจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกันครั้งล่าสุดที่จัดทำโดยAP-NOR Center for Public Affairs Research พบว่า มีคนอเมริกันราวครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ยืนยันว่าจะรับวัคซีนโควิด-19 

สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดเชื้อจำนวน 6,485,575 ราย และผู้เสียชีวิตจำนวน 193,534 ราย(8 ก.ย.2563)