พปชร.แตกยับ! อดีตบิ๊กกกต.ควงเรืองไกรลาออกอีก จับตาไขก๊อกตามอีกเพียบ?

1453

จากที่ประชุมร่วมคณะกรรมการบริหารพรรค และส.ส. มีมติขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค พร้อม ส.ส. รวม 21 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และมีกระแสข่าวทั้งหมดจะย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยนั้น

ต่อมาทางด้าน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กถึงกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในขณะนี้ว่า

จับตาดู สองสามวันนี้ มีอดีตส.ส. เดินทางย้ายพรรค จำนวนหนึ่งกลับเข้าพรรคเพื่อไทย หลายคนขออกจากพรรคพปชร. หลายคนตั้งพรรคใหม่ คึกคักกันน่าดู ลิเกกำลังจะบรรเลงแล้วนี่ ฤดูฝนยังไม่ แต่เงินกำลังจะตกจากฟ้า ไม่มีอะไรใหม่ในการเมืองไทย สภายังหวังอะไรไม่ได้ คนที่มีอุดมการหายไปไหนหมด จะมีทางเลือกอะไรให้ประชาชน

อยากจะบอกว่า อนุรักษ์นิยมไม่เคยตกขอบเวทีการเมืองโลก สังคมนิยมยังครองโลก ขาวจัดกำลังมาแรงทั่วโลก แต่ที่จะตายและหมดสภาพไปคือ พรรคเสรีนิยมและพวกเลเซเฟะ แพ้ทุกเวที ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ต้องซ้ายต้องขวาต้องชัดเจนว่า คุณคือใคร

หากการเมืองยังเป็นเรื่องแสวงหาอำนาจของนักการเมือง เพื่อใครที่ไม่ใช่ประชาชน ชาวบ้านจับต้องอะไรไม่ได้ พรรคการเมืองจะอยู่ยาก พวกดีแต่พูด ทำอะไม่เป็น โกงเป็นอย่างเดียว วันนี้ คนไทยไม่ได้โง่ รู้ว่าใครเป็นใคร

ล่าสุดวันนี้ 24 มกราคม2565  มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า นางสดศรี สัตยธรรม สมาชิกพรรค​ พปชร.และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรค เพื่อขอลาออกจากสมาชิกพรรคฯ ด้วยเหตุผลส่วนตัว โดยมีผลนับจากวันที่ 20 มกราคม 2565 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพปชร. ก็ได้เตรียมยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเช่นกัน​โดยมีการจับตากันว่า​ ทั้งนางสดศรี และ นายเรืองไกร จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทย หรือไม่ ซึ่งต้องรอให้เจ้าตัวชี้แจงเหตุผลถึงการลาออก และจะไปสังกัดพรรคการเมืองใดอีกครั้ง

ด้านนายเรืองไกร ออกมาเปิดเผยถึงการลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ประมาณ 8 เดือน ได้โอกาสทำงานที่ชอบคือ กรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในสัดส่วนของ พปชร. แต่หลังจากเป็น กมธ. ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยทำงานอื่นให้พรรค จะทำก็เฉพาะงานตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐและพรรคการเมืองต่างๆ ในนามส่วนตัวตามความถนัดอย่างมีอิสระ

“ตนได้รับการร้องขอให้ชะลอเรื่องการจะตรวจสอบเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะครบ 8 ปี ตามที่ได้ให้ข่าวไปเมื่อต้นปี กรณีนี้ทำให้ตนรู้สึกไม่อิสระ แต่ก็รอได้เพราะยังมีเวลาอีกประมาณ 7 เดือน และนายกฯ อาจจะพ้นจากตำแหน่งไปก่อนก็เป็นไปได้มาก”

นอกจากนี้นายเรืองไกร ยังกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา ยังมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่ควรร้องขอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการต่อไป โดยจะมีทั้งนายกฯ รัฐมนตรี ส.ส. และเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะ พล.อ. ประยุทธ์ มีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่อาจทำให้หลุดจากตำแหน่งหรือถูกดำเนินคดีตามมาได้ หากตนยังอยู่พรรค พปชร. ต่อไป เรื่องตรวจสอบคงทำได้ไม่อิสระ

อย่างไรก็ตาม นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า เพื่อให้การทำงานตรวจสอบของตนดำเนินการได้อย่างอิสระ ตนคิดว่าควรลาออกจาก พปชร. น่าจะเหมาะสมกว่า ดังนั้นตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือลาออกด้วยตนเองที่พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 24 มกราคมนี้ เวลา 10.00 น.

“ที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองมีความไม่มั่นคง สภาล่มบ่อย รัฐบาลได้รับการติติงมาก แต่ฝ่ายค้านส่วนมากก็ไร้ฝีมือ มีแต่ฝีปาก ไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างที่คุยโว และค้านแบบไม้หลักปักขี้เลน มีแต่สำนวน ไร้สาระ ไร้น้ำยา ผมเห็นประเด็นสำคัญหลายเรื่อง จึงมีงานที่ต้องทำและน่าจะทำได้ดีกว่าฝ่ายค้านในช่วงเวลานี้” เรืองไกร กล่าว