สิงคโปร์นำมาตรการคุมเข้มกลับมาใช้หลังผู้ติดเชื้อพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.เป็นต้นไป นาน 1 เดือน หลังจำนวนผู้ติดโควิดพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกินระดับ 1 พันคนติดต่อกัน 6 วัน ล่าสุดติดโควิดเฉียด 2,000 คนแล้ว
สำนักข่าวChannel NewsAsia:CNA และ Stratetimes รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2564 ว่าสิงคโปร์จะเริ่มนำมาตรการคุมเข้มกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากสถิติการป่วยสูงขึ้นไม่หยุด กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถิติผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมในประเทศอย่างน้อย 87,892 คน เสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 78 ราย และยังมีผู้ติดเชื้อต้องรักษาตัวอยู่ในระบบอีกอย่างน้อย 13,162 คน
ทั้งนี้ ในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด มีการยืนยันผู้เสียชีวิต 2 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 517 คน และติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,939 คน เป็นสถิติรายวันสูงสุดนับตั้งแต่เผชิญกับการแพร่ระบาดของโรค เมื่อต้นปีที่แล้ว โดยผู้ป่วยกลุ่มใหม่แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 5 คน และติดเชื้อภายในประเทศ 1,934 คน
การที่สถานการณ์ผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อต่อวันยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศยกระดับมาตรการควบคุมทางสังคม มีผลบังคับใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ระหว่างวันที่ 27 ก.ย. จนถึง 24 ต.ค.นี้ โดย
–การรับประทานอาหารภายในร้านอนุญาตให้มีผู้ร่วมโต๊ะได้สูงสุด 2 คน ทั้งคู่ต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว
-สำหรับร้านอาหารที่ไม่สามารถจำกัดจำนวนคนก็ให้ปรับเป็นซื้อกลับบ้านแทน ส่วนศูนย์อาหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชุมชน แม้จะจำกัดจำนวนคนให้ไม่เกิน 2 คน แต่จะไม่บังคับเรื่องสถานะการฉีดวัคซีน
–การรวมกลุ่มในสถานที่สาธารณะห้ามเกิน 2 คน
–การเรียนออนไลน์สำหรับนักเรียนประถมศึกษามีผลถึงวันที่ 27 ต.ค.นี้ เริ่มวันที่ 27 ก.ย.เช่นกัน
-ด้านกลุ่มผู้สูงอายุขอความร่วมมือให้อยู่บ้านมากที่สุด ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วหรือไม่
–ขณะที่สถานบันเทิงต่างๆยังคงไม่อนุญาติให้เปิด
–การทำงานที่บ้าน บริษัทห้างร้านต่างๆก็ต้องให้พนักงานกลับไปทำงานแบบ work from home จนกว่าจะมีการคำสั่งเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้รัฐบาลจะมีการทบทวนมาตรการหลังจากบังคับใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
นอกจากนี้ นับตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.นี้ สิงคโปร์จะเริ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม ให้แก่ผู้มีอายุระหว่าง 50-59 ปี ซึ่งได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้วนานกว่า 6 เดือน อนึ่ง 82% ของประชากรในสิงคโปร์ได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่สถิติการป่วยติดเชื้อยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
