ประชาชนส่วนใหญ่ หนุนตร.จัดการเด็ดขาด ม็อบทำลายความสุข หมดความอดทนกับผู้ชุมนุมทุกกลุ่ม!

1702

หลังจากที่กลุ่มทะลุฟ้า ได้ออกมารวมตัวชุมนุม เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา และได้มีการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะแยกย้ายยุติชุมนุมอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าหน้าที่เอาจริง รุกหนักเข้าสลายการชุมนุมสำเร็จ

ทั้งนี้ตามที่ทางบช.น. ได้คาดการณ์ว่าจะสามารถจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมในพื้นที่ดินแดงได้ในเดือนต.ค. นี้ ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มผู้ชุมนุมยอมถอย เนื่องจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มม็อบด้วยกันเอง และมีกองทุนสนับสนุนน้อย แม้จะย้ายสถานที่ใหม่ เจ้าหน้าที่คฝ. ก็มีการปรับแผนรับมือได้ดี

ขณะที่ก่อนหน้านี้นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ความหวังและการบั่นทอนใจในสถานการณ์โควิด-19 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,104 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 24 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นที่น่าสนใจของม็อบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือพบว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.9 ระบุว่า ม็อบขัดขวางการทำมาหากินของผู้อื่นที่บริสุทธิ์ ก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้สัญจรและผู้พักอาศัยในพื้นที่

ร้อยละ 94.4 รับรู้ข่าว ม็อบรุนแรงรายวันที่ใช้เด็กและเยาวชนเป็นเครื่องมือ ร้อยละ 94.2 ระบุ ต้องการให้ตำรวจเอาจริง เด็ดขาดทางกฎหมายกับแกนนำ กลุ่มผู้สนับสนุน ผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ร้อยละ 93.7 ระบุ ผู้ปกครองและสังคมต้องไม่ปล่อยให้เยาวชนถูกปั่นหลอกใช้ซ้ำซากจนเกิดการเผชิญหน้า ขยายสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในสังคมเหมือนในอดีต ร้อยละ 93.3 ระบุ ม็อบที่ใช้ความรุนแรงเป็นการก่ออาชญากรรม เกินเลยการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ร้อยละ 93.2 ระบุ มีแกนนำและกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังรู้เห็นเป็นใจใช้ความรุนแรงถ่อยเถื่อน หยาบคายทำลายทรัพย์สินสาธารณะจากเงินภาษีของประชาชน และร้อยละ 92.9 ระบุ ไม่เห็นประโยชน์ของม็อบ ที่ใช้ความรุนแรง ขาดอุดมการณ์ ล้ำเส้นสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ทำลายภาษีของประชาชน สร้างความเดือดร้อน เบียดเบียนผู้อื่น

ผลโพลนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีความหวังต่อการเปิดประเทศและเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดดีขึ้นตามลำดับ และประชาชนส่วนใหญ่กังวล หมดความอดทน และไม่เห็นประโยชน์กับม็อบรุนแรงรายวันที่ขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยและล้ำเส้นสิทธิและเสรีภาพผู้อื่น ขัดขวางการทำมาหากินสร้างความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้สัญจรไปมาและผู้พักอาศัย มีแกนนำรู้เห็นเป็นใจใช้ความรุนแรง ที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นอาชญกรรม เกินเลยการชุมนุม ต้องการให้ตำรวจเอาจริงเด็ดขาดทางกฎหมายกับแกนนำ ผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ไม่ปล่อยให้เยาวชนถูกปลุกปั่นหลอกใช้ซ้ำซากจนเกิดการเผชิญหน้าขยายสู่ความขัดแย้งทางสังคมดังเช่นอดีต

อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้มาตรการเด็ดขาดมากขึ้น จับตัวคนกระทำผิดได้รวดเร็ว และมีการควบคุมตัวผู้ชุมนุที่ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้จำนวนมาก ซึ่งตอนนี้บรรดาแกนนำในเครือข่ายม็อบ 3 นิ้ว ก็ถูกดำเนินคดี จนทำให้กระแสการรวมตัวชุมนุมแผ่วลงไปมากเช่นกัน ทำให้น่าติดตามว่าในเดือนต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถปิดเกมม็อบทั้งที่แยกดินแดง และแยกนางเลิ้งได้สำเร็จหรือไม่ เพราะหากทำสำเร็จ เท่ากับว่าประชาชนส่วนใหญ่จะกลับมามีความสุข มีความหวังอีกครั้ง เพราะไม่ต้องกังวลกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น