นายกฯนัดกระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ ศบศ.หารือผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เคาะมาตรการช่วยเหลือประชาชนพื้นที่ล็อคดาวน์-เคอร์ฟิว เพื่อชง ครม.อนุมัติวันที่ 13 ก.ค.นี้ แหล่งข่าวก.การคลังแย้มอาจเพิ่มมาตรการ เราชนะ เนื่องจากคนละครึ่งและยิ่งใช้ยิ่งได้ยังเหลือสิทธิ์อีกมาก ทำให้งบฯที่เตรียมไว้สามารถนำมาใช้ในมาตรการรอบใหม่ได้ ขณะเดียวกัน ฝ่ายดูแลหนี้สาธารณะก็ยืนยันด้วยว่าหากเงินไม่พอพร้อมกู้เพิ่ม เพราะฐานการเงินการคลังไทยยังแข็งแกร่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบไปด้วยกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์
เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเเฉินจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) ได้ประกาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา
การประชุมกับนายกรัฐมนตรีกับหน่วยงานเศรษฐกิจเพื่อหารือถึงมาตรการที่จะมีการเยียวยาประชาขนในพื้นที่ 10 จังหวัด โดยเฉพาะกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศล่าสุดซึ่งมีกิจการบางประเภทต้องปิดจามคำสั่งเพิ่มเติม ซึ่งการช่วยเหลือจะมีทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบประกันสังคม ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับการช่วยเหลือพิเศษที่ได้ออกมาในข่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยจะมีการชงมาตรการเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 13 ก.ค.เพื่อเห็นชอบในหลักการทันที
สำหรับมาตรการที่รัฐบาลเตรียมไว้เพิ่มเติมจะเป็นมาตรการจากกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีทั้งการเยียวยาประชาชนและช่วยเหลือกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศยกระดับมาตรการในพื้นที่สีแดงเข้มฉบับล่าสุดที่ให้ปิดกิจการบางประเภทเพิ่มเติม เช่น ร้านนวด สปา สถานเสริมความงาม ซึ่งต่างจากการเยียวยาในปี 2563 ที่ใช้กับทั่วประเทศ
ส่วนแหล่งที่มาของงบประมาณการเยียวยาเพิ่มเติมจะใช้เงินจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ยังเหลือบางส่วนและหากไม่พอจะขอใช้จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งกันส่วนเยียวยาประชาชนไว้ 3 แสนล้านบาท
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวว่า มาตรการที่จะออกมาจะเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และช่วยพยุงเศรษฐกิจด้วย เพราะมาตรการทางการคลังที่ออกมายังไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 3 โคงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกมาช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดรุนแรงทำให้ประชาชนยังไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอยมากนัก ซึ่งจะเสนอ ครม.ปรับปรุงมาตรการที่อนุมัติไปแล้วด้วย
สำหรับการช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มีหลายสมาคมการค้าเสนอให้ภาครัฐช่วยพยุงการจ้างงาน โดยขอให้รัฐช่วยสนับสนุนการค่าจ้างแรงงาน โดยมาตรการในลักษณะนี้คาดว่าจะใช้วงเงิน 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นอีกมาตรการที่ช่วยผู้ประกอบการรักษาระดับการจ้างงาน และจะส่งผลดีต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจในภาพรวม โดยกำลังสรุปรายละเอียดร่วมกับภาคเอกชนเพื่อเสนอ ศบศ.เพื่อให้มีผลใช้ทันทีเมื่อการระบาดคลี่คลายลง
รวมทั้งเตรียมมาตรการช่วยเหลือภาคท่องเที่ยวสำหรับช่วงสถานการณ์คลี่คลาย โดยจะพิจารณานำโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการทัวร์เที่ยวไทยของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วงเงิน 27,400 ล้านบาท กลับมาใหม่หลังจากเลื่อนไปเพราะการระบาดระลอกที่ 3 โดยประเมินว่าหลังจากมีมาตรการเพิ่มเติมแล้วสถานการณ์โควิด-19 จะทยอยคลี่คลายขึ้นในเดือน ส.ค.นี้
ด้านเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมนั้นรัฐบาลพร้อมเพิ่มกรอบหนี้ตามความจำเป็น เรื่องนี้ นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า แม้ว่ารัฐบาลจะกู้เงินจนเกินกรอบ 60% ต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ แต่ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ไม่ได้กำหนดห้ามไว้ เพียงแต่ระบุว่าให้รัฐบาลต้องชี้แจงความจำเป็นและหาแนวทางการทำให้หนี้กลับมาอยู่ในกรอบ
“รัฐบาลไม่ได้กลัวว่าการกู้เงินจะทำให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลชนเพดาน แต่มองเรื่องความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเพื่อดูแลเศรษฐกิจมากกว่า” นางแพตริเซีย กล่าว
จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2564 หรือสิ้นเดือน ก.ย.นี้ หากรัฐบาลเบิกจ่าย พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เต็มวงเงินตามกฎหมาย และบวกอีก 1 แสนล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณยังไม่เกิน 60%
นอกจากระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลนั้น มีตัวแปรอีกตัวหนึ่ง คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจหากขยายตัวต่ำกว่าคาด ระดับหนี้สาธารณะจะปรับตัวสูงขึ้น โดยขึ้นกับการใช้จ่ายเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฉบับที่ใหม่ 5 แสนล้านบาทด้วยว่า รัฐบาลจะใช้เงินมากกว่าที่คาดไว้ในปีงบประมาณนี้หรือไม่
ปัจจุบัน พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลได้เบิกจ่ายเงินกู้ออกมาแล้ว จนถึงปัจจุบันราว 8 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเบิกจ่ายออกมาตามโครงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นโครงการ เราชนะ คนละครึ่ง หรือยิ่งใช้ยิ่งได้
ทั้งนี้ หากใช้เงินโครงการเยียวยาไม่หมด เช่น โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่กระทรวงการคลังกำหนดเป้าหมายไว้ 4 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท จำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท หากมีคนเข้าโครงการน้อยกว่าที่กำหนด เงินส่วนที่เหลือจะนำไปใช้โครงการอื่น