ท่านว.วชิรเมธี อบรมพวกไม่พอใจประเทศทุกเรื่อง แถมนำเทียบอเมริกา หาเรื่องด่าวัคซีนไทย

14268

จากที่ขณะนี้ประเทศไทยเชื้อไวรัสโควิดได้กลับมาแพร่ระบาดรอบสาม ส่งผลต่อหลายภาคส่วน กระนั้นก็มีบางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อคนบางกลุ่ม รวมทั้งยังมีบางพวกฉวยโอกาสโจมตีการทำงานของรัฐบาลด้วยนั้น!!!

ทั้งนี้พบว่ายังมีข้อความที่ พระเมธีวชิโรดม หรือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงราย ได้เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก พระเมธีวชิโรดม – ว.วชิรเมธี  เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหาให้กำลังใจต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ว่า

สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอกที่ 3 ในประเทศไทย กำลังเลวร้ายมาก หลายฝ่ายต่างต้องการกำลังใจ พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี จึงเขียนบทความเพื่อให้กำลังใจ แก่บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขและแก่คนไทยทั้งประเทศ กรุณาช่วยส่งต่อกันและกันเพื่อสร้างพลังบวกให้แก่คนไทยให้เยอะที่สุดและกว้างขวางที่สุด

“วิชา เห็นอกเห็นใจคนอื่น” โดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) การเผชิญกับภัยคุกคามอย่างโควิด-19 นับว่า เป็นเรื่องแย่มากพออยู่แล้วสำหรับสังคมไทย แต่เรายังมีเรื่องแย่มากกว่านั้นซ้ำเติมเข้ามาอีก นั่นคือ การที่เราเอาแต่ด่าทอและด่วนตัดสินกันและกันหนักข้อมากขึ้นทุกวัน

เสียงด่าทอนั้น เกิดขึ้นจากความไม่พอใจรัฐบาลบ้าง ไม่พอใจตำรวจที่หละหลวมในการรักษากฎหมายบ้าง ไม่พอใจคนที่ไม่รักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้นบ้าง ไม่พอใจดาราหรือศิลปินบางคน ที่ติดเชื้อโควิดแล้วไม่ดูแลตัวเองให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นบ้าง ไม่พอใจเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่ทำตัวเหนือมนุษย์ทั่วไปจนกลายเป็นที่มาของระลอกที่ ๓ บ้าง ไม่พอใจวัคซีนที่ไม่แน่ใจว่า ปลอดภัยจริงๆ หรือเปล่าบ้าง

และที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่พอใจประเทศไทยไปเสียทุกเรื่อง ที่อะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมด แม้แต่เตียงสนามก็สู้สิงคโปร์ อังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา ไม่ได้ โดยหลงลืมความจริงไปว่า เราเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับประเทศที่กล่าวมาเหล่านั้น

ถ้าเราจะหาเรื่องด่าทอกัน ตัดสินกัน ต่อให้มีพันปาก ด่ากันพันวัน  ก็คงไม่จบไม่สิ้น ในสังคมที่เต็มไปด้วยเสียงด่าทออย่างนี้ ยังจะมีใครกี่คนที่มีความสุขกันล่ะ ผู้นำรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ แพทย์ พยาบาล จิตอาสา สักกี่คนกันที่จะมีกำลังใจปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ

ผู้คนทุกวันนี้ ทำตัวเหมือนเม่นเข้าไปทุกที เจอกันทีต้องสลัดขนพิษใส่หน้ากันจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด น้อยคนนักที่จะทำตัวเป็นแม่ไก่ ที่เจอกันเมื่อไหร่ก็โอบปีกปกป้องลูกด้วยความรัก วิกฤติโควิดก็หนักหนาแล้ว แต่วิกฤติความโกรธและเกลียดชังที่เริ่มก่อขึ้นมาในใจคน ซึ่งหากเราไม่ระวังและไม่สำเหนียก ก็จะเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายหนักลงไปอีก

ถ้าในสังคมมีแต่คนก่นด่าความมืด แต่ไม่มีคนจุดตะเกียงให้แสงสว่างกันเลย เราจะหาความสุขกันได้จากที่ไหน เราจะมีกำลังใจไขว่คว้าหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร เติมพลังบวกเข้าไปในใจคน ดีกว่าหยดยาพิษใส่แก้วน้ำให้คนอื่นกันดีไหม ?

ผู้เขียนเข้าใจดีว่า ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่ และมีความซับซ้อนเสียยิ่งกว่ากรุงสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว มักจะเต็มไปด้วยเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ ของคนที่อยากให้ความต้องการของตนได้รับการตอบสนอง อย่างทันท่วงที แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าคนที่ปฏิบัติงานทั้งหลาย  เพื่อให้ความต้องการของเราถูกมองเห็น และได้รับการตอบสนองนั้น เขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรานั่นเอง

เขาก็มีครอบครัว มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน เขาก็อยากมีคุณภาพชีวิตเช่นเดียวกันกับเรา และแน่นอน เขาก็อ่อนไหว เสียอกเสียใจเป็นพอ ๆ กับเราด้วย หากเราไม่เห็นอกเห็นใจกัน ไม่พยายามเข้าอกเข้าใจกัน ไม่ส่งเสริมกำลังใจให้แก่กันและกัน สถานการณ์เลวร้ายทั้งหลายจะดีขึ้นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ด่าทอกันมามากพอแล้ว เราลองมาส่งพลังบวกให้กันบ้างดีไหม ?