จากรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์” ที่ สน. นางเลิ้งในช่วงเช้า (30 มี.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าตัวได้โพสต์คลิปวิดีโอทางเฟซบุ๊กวิจารณ์เรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลภายใต้หัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564
ซึ่งการบรรยายในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย” ที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ของคณะก้าวหน้าและของนายธนาธรนั้น ประธานคณะก้าวหน้าได้วิจารณ์นโยบายการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า “ล่าช้า” และตั้งคำถามถึงแนวทางจัดหาวัคซีนแบบ “แทงม้าตัวเดียว” จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และแสดงความกังวลต่อการที่บริษัทเอกชนซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดวัคซีน
ทั้งนี้นายธนาธรได้รับหมายเรียกจาก พ.ต.ท.อธิป ดอนนันชัย รองผู้กำกับ สน.นางเลิ้ง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ. โดยในหมายปรากฏชื่อนายอภิวัฒน์ ขันทอง เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ระบุข้อกล่าวหาเพียงสั้น ๆ ว่า “ด้วยเหตุที่ท่านต้องหาว่าหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์” จึงให้มารับทราบข้อกล่าวหา
ทันทีที่นายธนาธร เดินทางมาถึงยังสน.นางเลิ้ง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่า ตนเองมารับทราบข้อกล่าวหาจากการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์สด กรณีที่รัฐบาลจัดซื้อจัดจ้างซีนผ่านบริษัทเอกชน ซึ่งในขณะนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตนได้พูด ละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112
ส่วนตัวไม่กังวลที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้เพราะถ้าหากมีโอกาสได้ย้อนกลับไปฟังจะพบว่าไม่มีประโยคหรือคำใดที่เป็นการก้าวล่วงหรือละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 เลย ยืนยันว่าทุกสิ่งที่พูดไปในไลฟ์สดที่เป็นประเด็นดังกล่าวเป็นเจตนาที่ดีต้องการสะท้อนถึงสังคมพร้อมกับกล่าวว่าสิ่งที่พูดในวันนั้นเกิดขึ้นจริงในวันนี้ทั้งหมด ให้ประชาชนได้เห็นแล้ว ถ้าหากวันนั้นตนไม่มีการพูด ประชาชนก็จะไม่รับทราบข้อมูลที่สมควรจะรู้
นายธนาธรยืนยันว่าตนมีความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกหมายเรียกเพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่ต้องเตรียมสิ่งใดมาชี้แจงเป็นกรณีพิเศษ
ในส่วนกฎหมายอาญามาตรา 112 ต้องการฝากถึงประชาชนว่าให้ตระหนักถึงว่า ปัจจุบัน กฎหมายข้อนี้นำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่ผ่านมาอดีตสมาชิกร่วมพรรคได้เคยยื่นเสนอปรับแก้กฎหมายมาตรา 112 แล้วซึ่งขณะนี้ขั้นตอนอยู่ในส่วนของ สภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนี้ทางด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธาน
คณะก้าวหน้า ยังระบุอีกด้วยว่า จากการพูดคุยกับนายธนาธร เจ้าตัวไม่มีความวิตกกังวล และเป็นเรื่องที่ซ้ำซ้อนกับคดีเก่า จึงต้องสอบถามกับพนักงานสอบสวนว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่
ขณะที่ทางด้านพล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ได้เข้ามาติดตามการสอบสวนในคดี พร้อมกล่าวว่า คดีนี้นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาแจ้งความไว้จากกรณีที่นายธนาธร วิจารณ์เรื่องวัคซีนโควิด-19 โดยพนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานมาระยะหนึ่งที่เชื่อว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ส่วนกรณีมองเป็นการกลั่นแกล้งเพราะศาลยกคำร้องแล้วนั้น ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อแจ้งข้อหาเสร็จก็จะไม่ควบคุมตัว ไม่ใช่ว่าตำรวจมีสองมาตรฐาน หรือเลือกปฏิบัติ เพราะทำตามพยานหลักฐาน ใครจะวิจารณ์ก็เป็นสิทธิ์ ส่วนสาเหตุที่ตนต้องเข้ามาติดตามคดีด้วยตัวเองนั้น เนื่องจากเป็นคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากมีคดีความมั่นคง ระดับกองบัญชาการต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม จากคลิปไลฟ์สดเรื่องวัคซีนที่นายธนาธร เคยวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าตัวตั้งหัวข้อว่า “วัคซีนพระราชทาน” แต่เมื่อมารับทราบข้อกล่าวหา กลับไม่พูดถึงข้อมูลตรงส่วนนี้ และในครั้งนั้น เจ้าตัวได้ท้าให้รัฐบาลเปิดสัญญา ที่บริษัทแอสตราฯ ทำกับสยามไบโอฯ ด้วย พร้อมตั้งคำถามว่า “ประชาชนไม่สมควรจะตรวจสอบหรือ ดีลที่เกิดขึ้นเป็นดีลปกติไหม เหมาะสมหรือไม่ เพราะเงินที่สนับสนุนมาจากภาษีประชาชน”
การสืบค้นเอกสารพบ 3 สัญญาในดีลนี้ ไม่ได้เป็นอิสระต่อกัน คือ 1. ดีลของบริษัท แอสตราเซเนกา กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์
2. บริษัท แอสตราเซเนกา กับรัฐบาลไทย และ 3.รัฐบาลไทยที่ให้เงินสนับสนุนบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์
” 3 ก้อนใหญ่ไม่ได้เป็นอิสระ ไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่เป็นดีลเดียวที่เจรจารวมกัน เอกสารที่ค้นมายืนยันชัดเจน สำคัญที่สุดคือวัคซีนที่เราพูดถึง มาจากภาษีประชาชน”