ที่สหรัฐอเมริกา เกิดเหตุการณ์อาชญากรรมสุดช็อค ทำร้ายคนไทยและคนอเมริกันเชื่อสายเอเชีย ทำร้ายร่างกาย ปล้นทรัพย์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และถี่ขึ้นในปีนี้ สะท้อนปัญหาอคติและเลือกปฏิบัติของคนอเมริกันต่อคนต่างเชื้อชาติอย่างชัดเจน สมัยอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กระบวนการต่อต้านการเหยียดผิว คนอเมริกันเชื้อสายอาฟริกันเฟื่องฟู และทั่วโลกรับลูกสนับสนุนกันเต็มที่ พอมาถึงสมัยของปธน.โจ ไบเดน การเหยียดเชื้อชาติ ทำร้ายถึงขั้นเอาชีวิต ขยายมาสู่ชาวเอเชีย-แปซิฟิก ไม่เว้นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียขยายตัวอย่างกว้างขวางเด่นชัด ล่าสุด กลุ่มชาวไทยและเอเชียในสหรัฐฯรวมพลัง เรียกร้องความยุติธรรมและต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีต่อชาวเอเชียในสหรัฐฯที่เพิ่มมากขึ้น แต่รัฐบาลสหรัฐกลับเดินหน้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งประเทศไทยและเมียนมา เป็นเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ต้านจีน เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐล้วนๆ
คำเตือนจากคนไทยในลอส แองเจลิส “ขอให้คนไทย ระวังตัวไว้ มองหน้า มองซ้าย จะไปไหน อย่าไปคนเดียวแค่นั้นเอง อย่าให้เรี่องมันเกิดซ้ำรอยเหมือนที่ ซาน ฟรานซิสโก”
นายอนุสรณ์ จิตรานุเคราะห์ ชาวไทย นครลอส แอนเจลิส วัย 74 ปี และกล่าวเตือนคนไทยในสหรัฐฯให้ระมัดระวังตัวมากขึ้นในการใช้ชีวิต และแสดงความกังวลในความปลอดภัย หลังเกิดเหตุการณ์ทำร้าย นายวิชา รัตนภักดี ชายเชื้อสายไทยวัย 84 ปี ที่ถูกชายวัยรุ่นผิวสี วิ่งเข้ามาผลักอย่างรุนแรง จนล้มเสียชีวิต ไม่ไกลจากบ้านพักในนครซาน ฟรานซิสโก ประสบการณ์เกือบ 50 ปีที่อาศัยในอเมริกาเกิดความเปลี่ยนแปลงที่เขาสัมผัสได้จากเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติสีผิวที่รุนแรงขึ้น
“คุณวิชา แกโชคร้าย ไม่ได้ระวังตัว ไม่คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่สถานการณ์ในเวลานี้ อายุมากแล้วไม่ควรเดินไปคนเดียว ไม่ว่าที่ไหน เวลาเดินก็คอยมองซ้าย-ขวา มองหน้าหลัง แล้วถ้าเห็นอะไรไม่ดี ควรที่จะเดินเข้าไปอยู่ใกล้ที่ชุมชน เพราะว่าที่นี่ มันไม่เหมือนแต่ก่อน”
จากรายงานล่าสุดของ STOP AAPI Hate หรือ องค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯ ตกเป็นเป้าของการถูกคุกคามหรือทำร้ายเนื่องจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติหรือสีผิว มากกว่า 3,800 ครั้ง ภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
เหตุคุกคามคนเอเชียในสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯเริ่มประกาศว่าโรคโควิด-19 แพร่ระบาดในอเมริกา จนถึงปัจจุบัน
ส่วนในปีนี้ แม้เวลายังผ่านไปแค่สามเดือนเศษ เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวก็เกิดขึ้นกว่า 500 ครั้ง แม้การคุกคามชาวเอเชียจะเกิดขึ้นทั่วอเมริกา รัฐที่เกิดเหตุมากที่สุดถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของกรณีทั้งหมด คือ รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งรัฐนี้มีประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอาศัยอยู่มากที่สุดในสหรัฐฯ และ ที่รองมา คือ รัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีรายงานการคุกคามถึง 14 เปอร์เซ็นต์
Just came upon an attack on an elderly Asian woman on Market Street San Francisco. Effort I got more details pic.twitter.com/5o8r0eeHE2
— Dennis O'Donnell (@DennisKPIX) March 17, 2021
รายงานขององค์กร STOP AAPI Hate ระบุว่า การคุกคามด้านเชื้อชาตินั้นแบ่งออกเป็นสามลักษณะใหญ่ๆ ได้ คือ การคุกคามด้วยวาจา ซึ่งได้รับการแจ้งเหตุมากที่สุดถึง 68.1 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ การแสดงความรังเกียจ เกิดขึ้นประมาณ 20.5 เปอร์เซ็นต์ และ ท้ายสุด คือ การทำร้ายร่างกาย ซึ่งคนเอเชียตกเป็นเหยื่อถึง 11.1 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ผู้ที่แจ้งเหตุถูกคุกคามยังเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า โดยคิดเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ถึง 42.2 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยคนเกาหลี 14.8 เปอร์เซ็นต์ ชาวเวียดนาม 8.5 เปอร์เซ็นต์ และ ชาวฟิลิปปินส์ 7.9 เปอร์เซ็นต์
ในขณะกระแสเกลียดชังคนเอเชีย-แปซิฟิกขยายตัวกว้างขวางในสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของปธน.โจ ไบเดน กลับตั้งหน้าตั้งตาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย-เมียนมาอย่างเป็นระบบ สื่อหลักบูชาตะวันตกพยายามชี้ว่าสหรัฐไม่สนใจเมียนมาและไทยเพราะไม่สำคัญนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการทูตต่างประเทศทั้งในไทยและเมียนมาประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อบีบคั้นให้เป็นไปตามวาระนโยบายอินโด-แปซิฟิกต้านอิทธิพลจีนอย่างถึงที่สุด พูดง่ายๆให้เลือกข้างสหรัฐต้านจีนนั่นเอง ท่ามกลางการระบาดโควิด-19 ที่ยังคุกคามในทุกภูมิภาคโลก และความวุ่นวายของการแข่งขันเรื่องวีคซีนต้านโควิดมากกว่าสนใจชะตากรรมความยากลำบากของประชาชน