จากกรณีที่กลุ่มพีมูฟ หรือ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และภาคีเซฟบางกลอย จัดกิจกรรม #Saveบางกลอย หน้าทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2564 และเมื่อเวลา 18.30 น. (15 มี.ค. 64) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินทางมายังบริเวณที่มีการจัดกิจกรรมและเข้าพูดคุยกับกลุ่มภาคีเซฟบางกลอย
เวลาประมาณ 18.30 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินทางมาถึงและเข้าพูดคุยกับกลุ่มภาคีเซฟบางกลอย โดยได้กล่าวปราศรัย ซึ่งบางช่วงบางตอนมีเนื้อหาโดยสรุปว่า วันนี้ยินดีที่มีโอกาสมาให้กำลังใจพ่อแม่พี่น้องที่ต่อสู้ ไม่แน่ใจว่าการมาที่นี่จะช่วยได้มากน้อยเพียงใด แต่เต็มใจมา ตนไม่ได้โตมากับความยากลำบาก ไม่ได้โตมาใกล้ชิดป่าเขา แต่โตมาในป่าคอนกรีต ในชีวิตไม่เคยลำบาก มือไม่ได้หนา หยาบกร้าน หรือเอ็นปูดโปน
แต่เคยได้ทำกิจกรรมทางการเมืองตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยไปเยี่ยมหมู่บ้านปกากะญอ ซึ่งทำให้รู้สึกสะเทือนใจมาถึงทุกวันนี้ นั่นคือกรณีหมู่บ้านสวนทุเรียน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2542 ซึ่งมีการประกาศอุทยานแห่งชาติกุยบุรีทับที่อยู่ จึงถูกรัฐขับไล่ลงมา แม้จะอยู่ในสวนทุเรียนมาหลายชั่วอายุคน รัฐจัดที่ทำกินให้ใหม่บริเวณบ้านป่าหมาก โดยให้ที่ดิน 5-10 ไร่ ตนได้เห็นการถูกไล่รื้อ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคาม เห็นความยากลำบากในการปรับตัว ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่
คนกะเหรี่ยงบางกลอยเขาอยู่ในพื้นที่มานานก่อนที่จะมีกฎหมาย ก่อนที่จะมีอุทยานเสียอีก นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน ไม่เห็นหัวประชาชน และกฎหมายมีความล้าหลัง เขาบอกว่าคนกับป่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าคนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ ป่าใดที่มีชุมชนก็จะเป็นป่าที่ยั่งยืน ป่าใดที่ไม่มีชุมชนก็มักจะเป็นป่าที่ไม่ยั่งยืน หลายคนถูกคุกคาม ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม จนต้องมาชุมนุมกันอยู่ในที่นี้ ซึ่งเป็นการประท้วงของคนที่มาด้วยความเดือดร้อน รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม
ข้อเรียกร้องของพวกเขาไม่ได้ยาก ที่เขาบอกว่าการไม่รับบันทึกความเข้าใจ เพราะบันทึกความเข้าใจไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ต้องการให้เกิดความหนักแน่นจากผู้มีอำนาจ ไม่ใช่มีเพียงแค่ลมปาก คิดจะฉีกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาต้องการให้มีการรับรองโดยมติคณะรัฐมนตรี และต้องการให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาข้อผิดพลาด ต้องการให้หยุดดำเนินคดีกับทุกคนในทุกคดี และหยุดคุกคามในทุกกรณี ตนมาให้กำลังใจชาวบางกลอย แต่ยังมีกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นทั่วประเทศ
นอกจากนี้ในเฟซบุ๊กของนายธนาธร ยังได้โพสต์คลิปบรรยากาศการปราศรัย และเขียนข้อความระบุว่า “พี่น้องชาติพันธุ์ปกากญอจากบางกลอย และเครือข่ายประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(P-move) ร่วมปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบตั้งแต่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา พวกเขาจะอยู่ตรงนี้จนกว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าจะปฏิบัติกับพวกเขาในฐานะประชาชนเข้าของประเทศ พอกันทีกับการไล่รื้อ เผาบ้าน ฟ้องคดี กระทำเหมือนชาติพันธุ์ไม่ใช่พลเมืองไทย”
อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของนายธนาธรครั้งนี้ ทำให้น่าตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดที่บอกว่า พอกันที กับการเผาบ้าน ไล่รื้อ ฟ้องคดี แต่ทำไมเรื่องการรุกที่ป่าสงวนที่นายธนาธร ถูกกรมป่าไม้แจ้งจับนั้น เจ้าตัวกลับไม่พูดถึง โดยเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2564 กรมป่าไม้แจ้งความ ว่ารุกที่ป่าสวงน ซึ่งที่ดินแปลงนี้ มีแม่ และพี่สาว เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีชื่อปรากฏว่าถือครองที่ดินในเขตป่าสงวนป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี โดยกรมป่าไม้ได้ตรวจยึดดำเนินคดีทั้งหมดเนื้อที่ 2154-3-82 ไร่ ประเมินความเสียหายภาครัฐจำนวน 147,063,223.15 บาท เพื่อดำเนินการฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายภาครัฐตามระเบียบ และกฎหมายต่อไป
และพื้นที่ ที่มีการครอบครองทำประโยชน์ อยู่ในท้องที่ต.รางบัว ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ต่อเนื่องขนาดใหญ่ เนื้อที่ประมาณไม่ต่ำกว่า 3 พันไร่เศษ มีการใช้ประโยชน์โดยปลูกยูคาลิปตัสต่อเนื่องทั้งพื้นที่ มีการจ้างเฝ้าดูแลพื้นที่ โดยกลุ่มบุคคลในพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ด่านท่าตะโก สืบสวนสอบสวนพบว่า พื้นที่ดังกล่าวทั้งหมดถูกครอบครอง โดยใช้เอกสารสิทธิประเภท น.ส.3ก ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 60 ฉบับ
เมื่อตรวจสอบพบผู้ครอบครอง น.ส.3ก คือ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,940-3-93 ไร่ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 5 ฉบับ เนื้อที่ 132-0-22 ไร่ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 2 ฉบับ เนื้อที่ 81-3-67 ไร่ รวมเนื้อที่ 2,154-3-82 ไร่
ดังนั้นความผิดของนายธนาธรชัดเจน แม้จะไม่ได้ออกมายอมรับว่าตนเองผิดกรณีรุกที่ป่า แต่ที่ผ่านมาจะเห็นเลยว่า ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญทางการเมืองในไทย และต่างประเทศ เจ้าตัวจะออกมาแสดงความคิดเห็นทันที อย่างเรื่องวัคซีนพระราชทานที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง หรืองัดแผนงานเก่าออกมาโจมตีการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข แต่พอเป็นเรื่องความผิดของตนเองกับครอบครัว จะรูดซิปปากไม่พูดถึง ซึ่งการปราศรัยของนายธนาธร คือคำพูดจากผู้ต้องหาคดีรุกที่ป่า ที่ได้ปลุกระดมชาวบ้านให้ออกมาต่อสู้ ถือเป็นการกระทำที่ย้อนแย้ง เพราะตัวนายธนาธรเคยกล่าวจะเดินหน้าทวงคืนผืนป่า แต่ตนเองและตระกูลดันทำผิดรุกที่ป่าสงวน นอกจากนี้ นายธนาธรยังกล้าพูดด้วยว่า “คนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ ป่าใดที่มีชุมชน ก็จะเป็นป่าที่ยั่งยืน ป่าใดที่ไม่มีชุมชนก็มักจะเป็นป่าที่ไม่ยั่งยืน” ไม่รู้ว่าเพราะความเชื่อแบบนี้หรือไม่ ถึงทำให้ตระกูลจึง รุกที่ป่าสงวนได้หลาย ๆ พันไร่