ดร.นิว สวนปากธนาธร ม็อบรุกกดดันรื้อกม.สถาบันฯ ก้าวล่วงพระราชอัธยาศัย

2242

ภายหลังจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้รับโอกาสจากพรรคก้าวไกล ให้เข้าไปทำหน้าที่ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

มีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนในการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณของหน่วยงานที่มีภารกิจสัมพันธ์กับสถาบันเบื้องสูง อย่างมีนัยเชื่อมโยงกับข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม อาทิเช่น การวิพากษ์วิจารณ์ และงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ พร้อมเสนอให้มีการตัด รื้อ ลด ตัวเลขเงินงบประมาณ โดยอ้างเพื่อความจำเป็นให้พระมหากษัตริย์ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมพระเกียรติ

ก่อนต่อมาจะเป็นที่มาซึ่งการประดิษฐ์วาทกรรม ว่าด้วยแนวทางต่อสู้ของกลุ่มแนวร่วมฯ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ ของ นายธนาธร ว่า #สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส และ การโพสต์สื่อความคิดในสิ่งที่ติดค้างในใจมานาน เพื่อการปลุกระดมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมารวมตัวในวันที่ 19 ก.ย. 2563 ใจความสำคัญว่า

“ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้ในวันนี้ ถ้าไม่ออกมายืนยันปกป้องเสรีภาพของพวกเราเองตั้งแต่วันนี้ วันพรุ่งนี้เราจะไม่เหลืออะไร คนรุ่นคุณจะเติบโตมาอยู่ในกรงที่ไร้ซึ่งเสรีภาพ นี่คือห้วงเวลาที่น่าตื่นเต้น นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัย ธงนำในการต่อสู้วันนี้ไม่ได้อยู่ในสภา ฝากอนาคตของประเทศไทยไว้ที่มือพวกคุณด้วย”

ล่าสุด ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความ แสดงความเห็นต่อการเคลื่อนไหวที่เป็นมาของ นายธนาธร และ กลุ่มแกนนำธรรมศาสตร์และการชุมนุม ในหัวข้อ #สิ่งที่ลัทธิประชาธิปไตยจอมปลอมจะไม่ยอมบอกม็อบ แสดงใจความสำคัญว่า

“ประเทศนอร์เวย์ที่มีดัชนีประชาธิปไตยสูงที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน และปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเช่นเดียวกับประเทศไทย รู้หรือไม่ว่า มาตรา 24 ในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ มีใจความสำคัญตรงกับ มาตรา 15 ในรัฐธรรมนูญของไทย สถาบันฯ มีอำนาจในราชการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย (การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย, การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา)

เพราะ “อำนาจอธิปไตย” กับ “อำนาจในราชการส่วนพระองค์” มันเป็นคนละส่วนกัน และการที่สถาบันฯ มีอำนาจในราชการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ได้ขัดแย้งหรือเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย รวมถึงไม่ได้เป็นการแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของประชาชน ที่เป็นการเลือกตั้งนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศแต่อย่างใด

ดังนั้นสิ่งที่ขัดแย้งและเป็นอุปสรรคกับต่อการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยอย่างแท้จริงก็คือ “ลัทธิประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่ขาดทั้งองค์ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เต็มไปด้วยอคติบิดเบือนที่ต้องการยัดเยียดความขัดแย้งและความแตกแยกให้กับสังคม

ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในระบอบการปกครองเดียวกันมีราชการส่วนพระองค์ แต่พวกมันกลับอยากให้ยกเลิก แถมยังหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปชนกับสถาบันฯ เพื่อสนองตัณหาและความคิดกลวงๆที่ฟังและเชื่อตาม ๆ กันมา ตกลงพวกมันจะสร้างประชาธิปไตยหรือสร้างความวิบัติแตกแยกครั้งมโหฬารกันแน่? #ให้มันจบที่รุ่นเรา