บิ๊กตู่กร้าวอย่าพูดไทยไม่เปลี่ยน! ปี30ใครรวยเพราะโทรคมนาคม หลังทักษิณโชว์ฟิตเตะกระสอบ

2598

กลายเป็นประเด็นฮือฮาแม้ไม่ใช่ข่าวการเมืองที่ร้อนแรง แต่ก็เป็นพูดถึงกันในแวดวง เมื่อนายกฯบิ๊กตู่พูดถึงใครบางคนที่รวยมาจากธุรกิจโทรคมนาคมเมื่อปี2530 ขณะที่ไม่กี่วันก่อนอดีตนายกฯทักษิณ เพิ่งออกมาโชว์ความฟิต ซึ่งเรื่องนี้ชวนให้ติดตามว่าจะมีการตอบโต้จากอีกฝั่งหรือไม่เมื่อถูกพาดพิงถึง???

โดยในวันนี้ 9 กุมภาพันธ์ 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งช่วงหนึ่งได้พูดถึงภายใต้โครงการ BCG เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก “ผลงาน BCG : พลังเศรษฐกิจใหม่ พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ถามผู้สื่อข่าวว่ามีอะไรสงสัยเกี่ยวกับ BCG หรือไม่ รู้จักไหม ช่วยกันพูดหน่อย อย่าพูดแต่เรื่องการเมือง ความขัดแย้งอย่างเดียว พูดถึงความก้าวหน้า มีเยอะแยะ รัฐบาลมีวิสัยทัศน์อย่างไร ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์เรื่องเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น นี่คือคำว่าวิสัยทัศน์ รัฐบาลเดินหน้าเช่นนี้มาโดยตลอด ต้องคิดไปข้างหน้า อย่าไปคิดแต่เรื่องเดิมๆทำแต่เรื่องเดิมๆ ก็จะได้แต่เรื่องเดิม ลดความเหลื่อมล้ำอะไรไม่ได้ แล้วอยากบอกว่าประเทศไทยเราเปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2520 ที่มีการปรับเปลี่ยนจากเกษตรกรรมมาเป็นเรื่องการส่งออกและเทคโนโลยี ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนรวยเมื่อปี 2530 หรอก ลองไปดูสิ ใครรวยเมื่อปี 2530 จากโครงการโทรคมนาคม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้เข้าใจพูดเข้าใจโยง พล.อ.ประยุทธ์ จึงหันมากล่าวว่า “ทำไม ในหัวยังมีอีกเยอะ”

อย่างไรก็ตามน่าสนใจว่า คนที่รวยเมื่อปี2530 จากโครงการคมนาคมคือมหาเศรษฐีคนไทยของเมืองไทย ก็บังเอิญพบประวัติ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ในปีเดียวกันได้ลาออกจากราชการตำรวจ ก่อนเข้าร่วมกับแปซิฟิกเทเลซิสเพื่อดำเนินการและจัดจำหน่ายบริการเพจเจอร์ แพ็กลิงก์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างจำกัด

ต่อมาขายหุ้นเพื่อไปตั้งบริษัทเพจเจอร์ของตัวเอง ในปี พ.ศ. 2532 โดยเปิดบริษัทโทรทัศน์เคเบิลไอบีซี แต่ขาดทุนจึงต้องมารวมบริษัทกับยูทีวีของซีพีกรุ๊ป ในปี พ.ศ. 2532 ตั้งบริการเครือข่ายข้อมูล ชินวัตรดอตคอม ซึ่งปัจจุบันชื่อ แอดวานซ์ ดาต้าเน็ทเวิร์ค และมีเอไอเอสและทีโอทีเป็นเจ้าของ ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของนายทักษิณ คนไทยรู้จักกันในชื่อ“ชินคอร์เปอเรชัน”

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจ จากคำพูดของนายทักษิณ ที่เคยเล่าถึงความพยายามในการก่อร่างสร้างดาวเทียมไทยคมไว้ในหนังสือ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกอัตชีวประวัติอย่างเป็นทางการ

สำหรับความเป็นมาของดาวเทียมไทยคมนั้นถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำให้ชายที่ชื่อ นายทักษิณ ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทางธุรกิจ โดยเจ้าตัวเล่าไว้ในหนังสือบางส่วนว่า

“คุณอ้อ (คุณหญิงพจมาน) เธอคงอยากให้กัปตันของเธอปลีกตัวไปกินกาแฟได้เสียที ในที่สุดจึงยอมเห็นด้วยกับการโหมโรงทำธุรกิจมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ธุรกิจที่การลงทุนครั้งแรกถือว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสองคน

อาจกล่าวได้ว่าปี2533 เป็นปีที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำธุรกิจของผมเพราะโครงการใหญ่ๆ อันเป็นรากฐานแท้จริงของชินวัตรล้วนกำเนิดในปีนี้ โครงการดาวเทียมก็เช่นกัน ชินวัตรเข้าร่วมประมูลสัมปทานดาวเทียมในยุครัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แข่งกับอีก 5 บริษัทใหญ่ คือ ไทยแสท,โมดูลาร์,แอซตรา,คอมแสท และ วาเคไทย

แต่คราวนี้เรามีความพร้อมมากกว่าโครงการใดๆที่ผ่านมาเนื่องจากได้อาศัยใบบุญความสำเร็จของโครงการก่อนหน้า ไม่ต้องเตรียมงานแบบยาจกเหมือนโปรเจ็กต์อื่น ผมจึงเชื่อมั่นอย่างเราจะต้องประมูลได้แน่นอน โดยการเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 15.33% ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี และประกันผลกำไรขั้นต่ำไว้ 1,350 ล้านบาท

ผมถือว่าโครงการดาวเทียมไทยคมเป็นความ ภาคภูมิใจ ร่วมของคนไทยที่จะได้มีดาวเทียมเป็นของชาติตนเองเสียที ไม่ต้องไปพึ่งพาต่างด้าวอีก

ผลการเปิดซองประมูลโดยมีคุณศรีภูมิ ศุขเนตร ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานสรุปว่า ผู้เสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่รัฐ คือ ชินวัตร จุดเริ่มต้นของโครงการไทยคมจึงออกจะดูสวยงามกว่าโครงการเก่าทุกโครงการ”

นั่นคือธุรกิจของตระกูลชินวัตรที่ถูกเล่าผ่านหนังสืออันเป็นที่มาคำพูดของนายกฯประยุทธ์หรือไม่??? ก็ยังไม่ทราบได้ แต่เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ ผ่านมา3วันก่อนนี่เอง อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของ นายทักษิณ ได้โพสต์คลิป พ่อ ขณะโชว์ซ้อมมวย ผ่านเฟซบุ๊ก “Ing Shinawatra” พร้อมข้อความระบุว่า “หนุ่มวัย72 ส่งคลิปนี้มาให้แม่ลูกอ่อนดูว่า ฟิตร่างกายไว้ พร้อมเลี้ยง หลานแล้ว