อดีตบิ๊กข่าวกรอง – พล.ท.นันทเดช แท็กทีม จับไต๋ก๊วนยกเลิก 112 ฟันธงตำรวจตั้งหลักได้แล้ว

3092

หลังจากที่นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้เผยแพร่ “คำแถลงคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112” ซึ่งมีใจความระบุว่า ตามที่พรรคก้าวไกล รวบรวมรายชื่อส.ส. เพื่อเสนอญัตติ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112

โดยมีเป้าหมายที่อ้างว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่จริงแล้วนั้น มีเจตนาเพื่อการล้มล้าง โดยใช้การแก้ไขมาตรา 112 เป็นบันไดขั้นต้น และหัวใจสำคัญที่แอบแฝง คือ การแก้ไขมาตรา 112 จะนำไปสู่การล้างผิด ให้แก่ผู้กระทำความผิดและถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งตัวนายธนาธร และพรรคพวก จึงเท่ากับว่า มีเจตนาล้มล้างความผิดแอบแฝงด้วย

พรรคไทยภักดี จึงขอคัดค้านความคิดที่จะมาแก้ไขมาตรา 112 อย่างเต็มที่ มีแต่กลุ่มที่มีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ

พร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมลงชื่อ 100,000 ชื่อ เพื่อแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการแก้ไข กฎหมายอาญามาตรา112 เพื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา

และในวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.30 น. ตนจะไปยื่นร้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ในประเด็นการไลฟ์ เรื่องวัคซีน และการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ


ล่าสุดทางด้าน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงประเด็นนี้ ระบบุถึง หัวข้อ “คัดค้าน​แก้ไข​ ม. 112” โดยมีรายละเอียดังนี้

นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการขอแก้ไขมาตรา​ 112 โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเหตุผลว่าเพื่อลดปัญหาการใช้กฎหมายมาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทางการเมือง

พวกหมิ่นสถาบันฯ ประสานงานกันเหมือนวงออเครต้า เดินเกมทั้งในสภา บนถนนและคนนอกประเทศ

ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าอย่าเอาความผิดคดีมาตรา 112 ไปเปรียบเทียบกับความผิดในกฎหมายอาญา​ธรรมดา​ เพราะมาตรานี้มุ่งหมายปกป้องพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท และมีกฎหมายลักษณะนี้มาตั้งแต่ ร.ศ. 127 (2453) หลังเปลี่ยนแปลงการ​ปกครอง​ รัฐธรรมนูญของคณะราษฎร​ 2475 ก็มีบัญญัติคุ้มครองไว้

สถาบันพระมหากษัตริย์คือเสาหลักของความมั่นคง​ เป็นศูนย์รวมจิตใจความเป็นชาติ​ มีแต่คนที่คิดจะล้มล้างสถาบันฯเท่านั้นที่พยายามจะโยกคลอนเสาหลัก​นี้​ ด้วยการบ่อนแซะ

มาตรา​ 112 ไม่ได้ทำร้ายใครเลย ถ้าหากไม่คิดที่จะจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน พระมหากษัตริย์ไม่ใช่​ชาวบ้าน​ ไม่ใช่นักการเมือง​ ไม่ใช่คนที่จะต้องถูกติฉินนินทา​ วิพาก​วิจารณ์​หากไม่กล่าวถึงพระองค์ก็ไม่มีความผิด​ แต่มีคนคันปากอยากวิพากวิจารณ์สถาบัน

อย่ามโนว่าคนที่ออกมาคัดค้านหรือต่อต้านการล่วงละเมิดสถาบัน​ จะทวงคืนหรือรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช อย่าพยายามปลุกผี อย่ากลัวเงาตัวเอง อย่าบ้า

ความพยายามในการแก้ไขมาตรา​ 112​ เป็นความพยายามที่จะให้มีการวิพากวิจารณ์องค์พระประมุขในที่สาธารณะ​ โดยไม่ให้มีกฎหมายเอาผิดได้ และผลักดันให้เป็นความผิดตามกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งเป็นความผิดทางแพ่ง โทษทางอาญาต่ำ จำคุกไม่เกิน 1 ปี และหากแก้ไขสำเร็จพวกพ้องที่ต้องคดี 112​ จะได้รับอานิสงค์ไปด้วย จะไม่ต้องติดคุกเนื่องจากมีกฎหมายใหม่ที่เป็นคุณกับผู้ต้องคดี

เรื่องอย่างนี้​ ใคร ๆ ก็รู้ทัน

แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงว่า สส. ใช้เอกสิทธิในการอภิปรายพาดพิงสถาบันในสภา โดยที่พระมหากษัตริย์ถูกดึงไปเป็นเกมการเมือง เห็นด้วยกับหมอวรงค์ในการล่ารายชื่อ เพื่อคัดค้านการแก้ไขมาตรา​ 112


ขณะที่ทางด้านพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วยเช่นกัน พร้อมระบุว่า

มาตรา112 ตอนที่ (จำเป็นต้องเขียนเรื่องนี้ทุกวันครับ)

หลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าว เรื่องนายธนาธร เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะยื่นแก้ ม.112แน่นอนนั้น ก็ต้องถามว่า มันเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อนกันของพวกตัวเองหรือเปล่า” เพราะ

1. กฏหมายอาญาทุกมาตรา เหมือนกันหมด ถ้าพวกคุณไม่ไปทำผิดเข้า ก็ไม่ต้องเดือดร้อน สมมุติพวกคุณ ไปลักทรัพย์มา ทำผิดกันหลายๆคน พอตำรวจรวบรวมหลักฐานได้ เตรียมจะจับ พวกคุณก็ออกมาร้องให้เลิกกฏหมายว่าด้วยลักทรัพย์ ทันทีว่าไม่ดีอย่างงั้น ไม่ดีอย่างนี้ เพื่อจะไม่ให้โดนลงโทษจากมาตรานี้

ม.112 ก็เหมือนกับมาตราอื่น ๆ คุณไม่ไปละเมิด ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไรเลย กฏหมายมาตรานี้ ไม่ได้ทำให้คุณยากจนลง ไม่ได้ทำให้คุณเสียสิทธิอะไรเลย ไม่ได้ให้คุณอยู่ในบ้าน คุณจะไปไหนก็ได้ จะพูดอะไรก็ได้ ถ้าไม่ไปด่าคนอื่นเขา กฏหมายเกี่ยวกับโควิดยังรอนสิทธิพวกคุณมากกว่าเสียอีก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า พวกคุณกล้าทำ แต่กลัวติดคุก จึงออกมาโวย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่า จะผิดหรือเปล่า ไม่แน่จริงนี่หว่า

2. พวกคุณกล้าทำในเรื่องที่น่าจะผิดกฏหมายมาตรา112 ทำกันเข้าไปอย่างสนุกสนาน ทั้งเปรียบเปรย กระทบกระแทก ทั้งด่าตรง ๆ จนเพลิน พอตำรวจรวบรวมความผิดได้ เตรียมจะฟ้อง ก็พากันแหกปากขอให้เลิกมาตรานี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เลิกไม่ได้ (การขอแก้ไขของพวกคุณก็เหมือนยกเลิกนั้นเอง) แต่เจตนาจริง ๆ ก็คือ

ข่มขู่ไม่ให้ ตำรวจ อัยการ หรือ ศาล เล่นงานแรงเกินไป หรือไม่เล่นเลยก็ได้ จึงต้องทำให้เรื่องมันปั่นป่วน เข้าไว้ ตำรวจบางคนยังถูกขู่อีกว่า “ถ้าพวกฉันกลับมาเป็นรัฐบาล จะคิดบัญชีกับพวกแกแน่นอน” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าคนที่เป็นข้าราชการทุกคน ก็ล้วนแต่กลัวผลกระทบต่ออาชีพกันทั้งนั้น แต่ก็มีบางคนก็ต้องยอมพวกคุณด้วยเหตุผลนี้

ยิ่งตัวคนในกระบวนการยุติธรรม ที่เคยมีความผิดติดตัวอยู่บ้างแล้วในอดีต ก็จะกลัวพวกคุณมาก กลัวพวกคุณแฉ กลัวพวกคุณเดินขบวนมาล้อมที่ทำงาน ก็เลยช่วยๆเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยพวกคุณไป พวกคุณถึงได้ใจไง ถ้าต้องไป ก็แค่พาพวกไปสัก 20-30 คน แล้วอาละวาดทำอะไรแผลง ๆ แต่งคอสเพลย์ล้อเลียนสนุกสนานดี

3. ตอนนี้วันเวลาของความสุข จากการข่มขู่ผู้อื่น จึงน้อยลงทุกที ตำรวจเริ่มตั้งหลักได้แล้ว เพราะพวกคุณข่มเหงตำรวจมากเกินไป ดังนั้นพวกคุณจึงเริ่มดิ้นรน อีกครั้งหนึ่ง น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเสียด้วย แต่อย่าถึงขั้นฆ่ากันเอง แล้วเอาศพมาแห่ว่าตายเพราะ ม.112 อีก ก็แล้วกัน ตัวอย่างการเคลื่อนไหวแบบนี้ ก็เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ไม่เข็ดหรือไงครับ