จากกรณีที่นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยซัมมิท ออโต พาร์ท อินดัสตรี จำกัด น้องชายของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออก PRESS RELEASE ชี้แจงกรณีที่ดิน 3 หน้า โดยมีเนื้อหาระบุว่า
ข้าพเจ้า นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ อยากจะชี้แจงสังคมเกี่ยวกับเรื่องที่ดินบริเวณชิดลมว่าข้าพเจ้าขอยืนยันความบริสุทธิ์และมีประเด็นที่อยากชี้แจง ดังนี้
1. ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าไม่เคยรู้จัก นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เป็นการส่วนตัว รวมถึงข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ท่านใดก็ตาม ข้าพเจ้ามารู้ว่าคุณประสิทธิ์คือใครหลังจากตำรวจได้ทำการสืบคดีแล้วเท่านั้น
2. ในปี 2560 ข้าพเจ้าได้รู้จักนายสุรกิจผ่านนายหน้าที่รู้จักอีกท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันมาก่อน รวมถึงไม่มีความสนิทสนมใด ๆ ตลอดระยะเวลาในการทำงาน ที่ดินแปลงนี้มีคณะนายหน้าจำนวนหลายท่านได้รวมตัวเข้ามาเสนอที่ดินให้กับข้าพเจ้า ดังนั้นการเจรจาต่าง ๆ มีผู้รับรู้หลายท่านเป็นสิ่งที่เปิดเผยมาก และการที่คนที่เพิ่งรู้จักกันมันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะบอกให้คุณสุรกิจนำเงินไปดำเนินการในสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้กับบุคคลที่สามหรือมีลักษณะเรียกเงินเพื่อให้มีการกระทำที่ทุจริตยิ่งเป็นไปไม่ได้
ซึ่งผมขอยืนยันว่าในกรณีนี้ผมไม่ได้ไปวิ่งหาที่ดินตั้งแต่แรก แต่เป็นนายหน้าเข้ามาเสนอที่ดินให้ข้าพเจ้า โดยที่ผมไม่ได้เป็นผู้มอบหมายให้นายหน้าไปจัดหาเมื่อผมพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความคุ้มค่าในเชิงธุรกิจจึงมีการดำเนินโครงการต่อ
3. ทั้งนี้ตลอดการทำงานข้าพเจ้าเน้นย้ำเสมอถึงความโปร่งใสและการทำงานบนความถูกต้อง โดยมีการระบุลงไปในสัญญาการจ้างอย่างชัดเจนว่า “ในการปฏิบัติงานนายหน้าจะต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ตามข้อบังคับหรือระเบียบต่าง ๆ และรวมถึงการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานของวิชาชีพของนายหน้า ”
4. ทั้งนี้ตลอดในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีการทำงานหลายขั้นตอนจน Final project development proposal ได้ออกมาเป็นโครงการเป็นลักษณะ Mix-Use ขนาด 160,000 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย โรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงาน และคอนโดมิเนียม (ดูเอกสารประกอบที่ 1) ซึ่งตลอดการทำงานมีการจ้างที่ปรึกษาหลายหน่วยงานเพื่อส่งแผนการพัฒนานี้ ซึ่งมีการทำงานจริง เพราะขณะนั้นเชื่อเพียงว่าการผ่านการพิจารณาได้จะต้องทำโครงการให้มีความโดดเด่นเท่านั้น
ดังนั้นการชำระเงินตามที่มีข่าวอออกไป เป็นการชำระค่าจ้างในลักษณะของ real estate consultancy ตามคู่สัญญาการค้าที่มีการระบุในสัญญาตามมาตรฐานธุรกิจทั่วไป โดยแบ่งจ่ายเมื่อแผนงานมีความคืบหน้า ทุกครั้งมีการชำระเงินเป็นเช็คและได้มีการบันทึกใบรับเช็คตามมาตรฐานสัญญาธุรกิจทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหลีกการตรวจสอบ ในกรณีนี้ได้มีการทำเอกสารราชการปลอมนำมาแสดงกับข้าพเจ้าเพื่อยืนยันความคืบหน้าในการทำงานอันจะทำให้มีสิทธิ์ขอเบิกค่าจ้างตามที่สัญญากำหนดไว้ได้ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเสียหาย
5. ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเชิญไปนำเสนอแผนพัฒนาโครงการในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 (ภายหลังทราบว่าเป็นหนังสือที่ได้ถูกปลอมแปลงขึ้นมา) ปรากฏว่า ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากนายหน้าว่าขอยกเลิกการประชุมล่วงหน้า 1 วันก่อนถึงวันประชุม จึงเป็นเหตุที่ทำให้เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว
โดยมีการบันทึกรับเอกสารจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และได้รับหนังสือตอบกลับจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แจ้งว่า ยังไม่มีนโยบายในการหาผู้เช่ารายใหม่แต่อย่างใด ข้าพเจ้าจึงได้ยกเลิกสัญญาและส่งหนังสือทวงหนี้ 2 ครั้งตามระบบ ซึ่งจากการที่เราตรวจสอบเอกสารจนค้นพบข้อเท็จจริงทั้งหมดแสดงถึงความบริสุทธิ์ว่าเราไม่มีการไหว้วานใครให้ไปกระทำการที่ผิดกฎหมาย จนทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ทำการตรวจสอบและได้ทำการสืบสวนต่อจนทราบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารจนสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้และที่ผ่านมาได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้จากเหตุการณ์นี้
6. ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้และขอยืนยันในความบริสุทธิ์ ทั้งนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากข่าวที่สังคมได้รับนั้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของบุคคลอื่น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วกรณีนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้เสียหายจากการปลอมแปลงเอกสาร สำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงนั้นได้ถูกปรากฏอยู่ในเอกสารสำนวนสอบสวนตั้งแต่แรก ในส่วนของค่านายหน้านั้นเป็นการตกลงตามมาตรฐานในวิชาชีพตามหลักสากลของธุรกิจนี้และจะทำการชำระก็ต่อเมื่อได้ทำธุรกรรมจดสิทธิ์การเช่าที่สำนักงานที่ดินให้แล้วเสร็จ
ข้าพเจ้าขอยืนยันสิ่งที่ชี้แจงมาทั้งหมดเป็นความสัตย์จริง และยืนยันว่าไม่เคยใช้ให้ผู้ใดไปดำเนินการสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามที่เป็นข่าว อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะใช้ความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้นกับการดำเนินธุรกิจต่อไปในภาคหน้า เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาใด ๆ ทั้งกับตนเองและหน่วยงานอื่น
ล่าสุดทางด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคำชี้แจงของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัท เรียล แอสเสท ดิเวลอปเม้นท์ จำกัด และน้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ยืนยันเป็นผู้เสียหายและเป็นผู้บริสุทธิ์ จากกรณีติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 20 ล้านบาท ว่า อยากถามผู้บริสุทธิ์ว่า
1.เหตุใดจึงตกลงจ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินสูงถึง 500 ล้านบาท ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หน้า 9 บรรทัดที่ 10
2.การเสนอเงิน 500 ล้านบาทให้แก่นายหน้า เพื่อให้ได้สิทธิในการเช่าโดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน แบบนี้เขาเรียกว่าเงินติดสินบนใช่หรือไม่ หรือเรียกว่าเงินค่านายหน้า
3.นายสกุลธรกล่าวว่าทุกครั้งมีการชำระเงินเป็นเช็ค ซึ่งนายสกุลธรสั่งจ่ายในฐานะเป็นประธานบริษัทฯ และเป็นผู้มีอำนาจลงนามผูกพันธ์แทนบริษัท แสดงว่าผู้ถือหุ้นในขณะนั้นคือนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ย่อมทราบถึงการกระทำนี้ด้วยใช่หรือไม่
4.เมื่อนายสกุลธรคิดว่าตนเองเป็นผู้เสียหายแล้ว ได้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับบุคคลทั้งสองตามวิสัยของวิญญูชนหรือไม่
5.ในเอกสารคำแถลงข่าวของนายสกุลธรไม่ได้ระบุตำแหน่งและชื่อบริษัทของนายสกุลธรเลย เป็นเพราะเหตุใด หรือว่าเพราะอับอาย
6.หากนายสกุลธรอ้างว่าเงิน 20 ล้านเป็นจ่ายเงินค่านายหน้า ตามกฎหมายปกติแล้วที่ตกลงกันทั้งหมด 500 ล้านแล้ว ได้สิทธิเข้าไปทำโครงการMix-Use ขนาด 160,000 ตารางเมตรโดยไม่ต้องประมูลใดๆกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อีก เงิน 500 ล้านที่นายสกุลธรตกลงให้นายสุรกิจหากไม่เรียกว่าเงินสินบนจะให้เรียกว่าค่าอะไร หรือเป็นค่าอนาคตใหม่หรือค่าก้าวหน้าอย่างนั้นหรือ
หากนายสกุลธรมั่นใจว่าเป็นผู้เสียหายหรือผู้บริสุทธิ์ควรแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ไม่ใช่ให้ใครมาเขียนบทให้แบบนี้ ควรกล้าสบตาและตอบคำถามสื่อมวลชนแบบตรงไปตรงมา ไม่ใช่ส่งกระดาษเปื้อนหมึกมาชี้แจงเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยืนยันความมั่นใจของนายสกุลธรที่ออกเอกสารชี้แจงเผยแพร่ในวันนี้ว่าเป็นเอกสารจริง ควรลงชื่อกำกับแล้วประทับตราบริษัทนำส่งให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนของตำรวจต่อไป เพราะอาจมีการอ้างว่าเป็นเอกสารปลอมในอนาคตได้