ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐ หลายรายต่างวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันว่า สหรัฐอาจต้องเผชิญสงครามกลางเมือง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะปัจจัยภายในสหรัฐ อำนาจรัฐล้มเหลว การปะทะกันของกลุ่มคนเห็นต่างที่สนับสนุนนักการเมืองคนละขั้ว รีพับลีกันโดยปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เดโมแครตโดย โจ ไบเดน ทั้งโซเชียลมิเดียเต็มไปด้วยแนวคิดฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ยั่วยุทำลายฝ่ายเห็นตรงข้าม ทำให้ความรุนแรงทางการเมืองท่วมสังคมอเมริกัน ไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีที่จะรู้ภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ไร้ความหมาย ไม่อาจขวางคลื่นขัดแย้งทางชนชาติที่กลบอยู่มานาน และสุกงอมพร้อมลุกขึ้นทำลายล้างกันเองอย่างน่าวิตก
ซีไอเอ-ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์การเมืองสหรัฐชี้ชัดว่า แนวโน้มสงครามกลางเมืองของสหรัฐมีความเป็นไปได้สูง เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและแนวความคิดร้าวลึก ท่ามกลางสถานการณ์เปราะบางของเศรษฐกิจสังคม เมื่อคนอเมริกันต้องเผชิญกับโรคร้ายไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง สภาพคนว่างงานคนไร้บ้าน ไร้เงิน ทั้งปัญหาสุขภาพ, ปัญหาการทำมาหากิน ปัญหาขาดแคลนปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตเกิดวิกฤตแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ซ้ำเติมด้วยปัญหาภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว ไฟป่า พายุโหม น้ำท่วมใหญ่ สารพัดภัยรอบตัว
“ผมไม่รู้ว่าอเมริกาจะกลับไปสดใสเหมือนเคยได้อย่างไร ก่อนสิ้นวันนี้ถ้าคุณติดตามเหตุการณ์อย่างใกลชิด จะเห็นว่าคนอเมริกันนับ 10 ล้านกำลังคร่ำเคร่งกับการเตรียมการไปสังหารเพื่อนร่วมชาติ และอีกไม่น้อยกำลังจะทำเหมือนกัน ถามว่าถ้าโจ ไบเดนชนะเลือกตั้ง เขาจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้ไหม” ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐกล่าว
อเมริกาพร้อมรับสงครามกลางเมืองหรือยัง?
ความขัดแย้งทางการเมือง ความคิดความเชื่อหยั่งลึกลงสู่ประชาชนฐานรากของอเมริกาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผลกระทบจากเสรีภาพในการเผยแพร่ความเชื่อผ่านโซเชียลมีเดียไฮเทค ไม่ว่าจะดีหรือเลว สงบหรือรุนแรง กฎหมายไม่ชวยอะไรมากเพราะขึ้นอยู่กับ สิทธิการคัดเลือกปิด-ห้าม-เตือนของเจ้าของแพลตฟอร์ม ทั้งเฟซบุ๊ก, อินสตราแกรม, ทวิตเตอร์, กูเกิล ที่ครองความเป็นเครื่องมือทรงพลัง ครอบงำความคิดของประชาชนทั้งในสหรัฐเอง และประเทศทั่วโลก
มูลเหตุแห่งความเป็นรัฐล้มเหลว
-โควิด-19 ระบาดใหญ่ทั่วสหรัฐโดบปราศจากการจัดการควบคุมอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในสหรัฐ มีจำนวนมากที่สุดในโลก และมีแนวโน้มที่หนักกว่าเดิมเมื่อ จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นรายวันกระฉูด อย่างมีนัยยะสำคัญ จากเดือนกรกฎาคมที่เริ่มทรงตัว กลับเพิ่มขึ้นอย่างทันทีใน 32 รัฐเป็นอย่างน้อยทั้งจำนวนผู้ป่วยรายวัน และการเสียชีวิต
-การชุมนุมประท้วงลงถนนต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณี “จอร์จ ฟลอยด์” คนผิวสีที่ถูกกลุ่มตำรวจผิวขาวจับกุมเป็นเหตุให้เสียชีวิตอย่างไม่น่าจะเป็น ขยายเป็น “ขบวนการ Black Live’s Matter” ทั่วสหรัฐและตอบรับสนับสนุนจากหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นเวลาเกือบ 6 เดือนที่ยังไม่หยุดประท้วง ไม่มีมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเป็นระบบ ได้กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสให้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว
-ดินแดนย่านเวสน์โคสต์เผชิญภัยไฟป่ารุนแรงต่อเนื่องนับเดือน เสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเกิดไฟป่า, พายุทอร์นาโด-ไซโคลน น้ำท่วมในย่าน
-ความรุนแรงทางการเมือง ที่อดีตช่วงก่อนเลือกตั้ง จะดุเดือดอย่างเป็นธรรมดา เลือกตั้งได้ใครเป็นประธานาธิบดีแล้วก็แยกย้ายกันทำมาหากิน แต่วันนี้แตกต่าง เมื่อความขัดแย้งกลุ่มคนเห็นต่าง-Blaclk Live’s Matterที่สนับสนุนเดโมแครตต้านปธน.ทรัมป์ กับกลุ่มลัทธิขาวสุดโต่งที่เป็นสาวกทรัมป์ พัฒนาจากในโซเชียลมีเดีย สู่ท้องถนนอย่างเปิดเผย มีการเผชิญหน้าในหลายพื้นที่และมีการใช้อาวุธทั้งสองกลุ่ม ต่างอ้างเพื่อป้องกันตนเอง การซื้อขายอาวุธในส่วนบุคคลพุ่ง เพราะสัญญาณอันตรายของจลาจลและการทำลายล้างกันมีให้เห็นในทุกวัน ซึ่งสื่อท้องถิ่นสหรัฐทุกเมืองรายงาน แต่ปรากฏในสื่อหลักเฉพาะเรื่องใหญ่เป็นที่สนใจของสาธารณะและเกี่ยวข้องกับการเมืองใหญ่
-ปัญหาความยากจนขาดแคลน และตกงานแผ่ขยายเพิ่มอย่างรวดเร็ว การฟื้นภาคการผลิตและการดำเนินธุรกิจยังฝืด ขณะที่งบเยียวยารอบ2 ที่สองพรรคใหญ่ยังตกลงกันไม่ได้ กลายเป็นเงื่อนไขของมิคสัญญีแน่แท้ เมื่อความหิว โกรธขึ้ง หดหู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร มารวมกันอยู่ในม็อบเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็ยากควบคุม
เมื่อคืนนี้(28 ต.ค.-เวลาสหรัฐ) ที่ฟิลาเดลเฟีย ผู้ชุมนุมBLM ล้อมตำรวจ ที่ยิงใส่ผู้ชุมนุมอายุ 27 ปีชื่อวอลเตอร์ วอลเลส จูเนียร์ที่ถือมีดอยู่ในมือ ทำเกิดจลาจลไปทั่วด้วยความโกรธแค้น ทำลายสถานีตำรวจ ขับรถชนตำรวจขาหัก ทางการแจงว่าตำรวจ 30 นายได้รับบาดเจ็บ
กลุ่มขวาจัดพร่ำพูดเรื่อง “สงครามกลางเมือง” ผ่านโซเชียลมีเดียตลอดช่วงเวลาก่อนการเลอกตั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐที่ติดตามเรื่องความรุนแรงในสังคมอเมริกาชี้ว่า อเมริกาหลีกเลี่ยงไม่พ้นแน่นอน
การก่อความไม่สงบกระจายทั่วเมืองใหญ่และท้องถิ่นชนบท
ผู้เชี่ยวชาญจากซีไอเอ มองว่าสถานการณ์ช่วงนี้ เหมือนตอนเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกาครั้งสมัยประธานาธิบดีลินคอนระหว่างฝั่งสนับสนุนเลิกค้าทาส กับฝั่งค้าทาส วันนี้ปัญหาใจกลางที่ยังฝั่งลึกในความคิดจิตใจของคนอเมริกัน ยังไม่ได้ถูกเยียวยาอย่างแท้จริง และปะทุขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและเศรษฐกิจในรอบ 100 ปีของการพัฒนาประเทศสหรัฐอเมริกา และจุดเริ่มต้นคือเป้าหมายทางการเมืองที่เริ่มความรุนแรงโดยประชาชน
“ความขัดแย้งที่แพร่อยู่ใต้ดินควบคุมยาก และเมื่อโผล่ขึ้นมาบนดินนั้นคือสุกงอมแล้ว” เจ้าหน้าที่ซีไอเอกล่าว “การเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยจัดการให้เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ดูเหมือนไม่รุนแรง แต่มีผู้นำเกิดขึ้น มีแผนการนำ มีกลุ่มเคลื่อนไหวภายใต้แนวความคิดที่ถูกฝึกอบรมมา และได้รับการสนับสนุนทางอุปกรณ์ที่จำเป็นรวมทั้งอาวุธ”
ตัวอย่างสงครามกลางเมืองทั่วโลก
-สงครามกลางเมืองในซีเรีย ที่ก่อขึ้นจากการเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน
-สงครามไอร์แลนด์ 30 ปี กลุ่มต่อต้านรัฐบาลต่อสู้กับตำรวจกลางถนน มีการลักพาตัวฝ่ายตรงข้าม ประชาชนบ้านแตกพลัดถิ่นฐาน ระเบิดทำลายบ้านเมือง
-ความขัดแย้งในโคลัมเบีย สงครามยืดเยื้อกว่า 60 ปี มีกองกำลัง FARC และฝ่ายตรงข้ามและรัฐบลสู้รบกันนับทศวรรษ
-อิตาลี ความขัดแย้งฝ่ายขวาฝ่ายซ้าย และการก่อการร้าย
ความขัดแย้งและสถานการณ์ความรุนแรงทั่วโลกในปัจจุบัน มีกลุ่มกองกำลังติดอาวุะ ซึ่งมีเป้าหมายในการก่อการร้าย และทำลายวัฒนธรรมการเมืองด้วยความรุนแรง มันต่างจากอดีตในเนื้อหาแต่รุปแบบเหมือนเดิม และนี่ก็ทำให้ยากหาสมมติฐานมารองรับปัญหาความรุนแรงในสหรัฐ มันซับซ้อนและมีลักษณะเฉพาะในตัวเอง เพราะสหรัฐมีหลายมลรัฐ มีพื้นที่กว้างใหญ่ และโซเชียลมีเดียได้ทำให้ความรุนแรงทั้งหลายท่วมสังคมอเมริกันอย่างยากที่จะควบคุม ที่สำคัญสังคมอเมริกัน ประชาชนมีอาวุธได้อย่างเสรี
การล่มสลายมาจากปัจจัยภายในของสหรัฐ
อาดัม ไอแซคซัน(Adam Isacson),ผู้อำนวยการหน่วย WOLA กลุ่มทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในละตินอเมริกากล่าวว่า “การล่มสลาย..มันไม่ได้แพร่มาจากที่อื่น อเมริกากำลังเผชิญความรุนแรงสะสมอย่างน่าอันตราย” “อเมริกา มีสภาพเตรียมปฏิวัติมาระยะหนึ่ง และโควิด-19 เปิดโอกาสให้เกิดขึ้น”
ไอแซคซันกล่าวถึงการพัฒนาความรุนแรงปรากฏให้เห็นท่ามกลางการชุมนุมประท้วงที่ยืดเบื้อกว่า 100 วันในอเมริกา นับตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์เป็น Black Live’s Matter, การปะทะในพอร์ตแลนด์ การสาดกระสุนใส่กันที่เมืองเคโนชา เป็นต้น ทั้งหมดนี้แสดงถึงสภาพสุกงอมของสถานการณ์รุนแรงในสหรัฐ ที่กลบอยู่ใต้พรม
ลักษณะสังคมอเมริกันเป็นแบบปิรามิดหัวตั้ง คนส่วนใหญ่เป็นฐานอยู่ด้านล่าง ไอแซคซันเชื่อว่ากว่า 20% ของคนอเมริกันไม่ยอมรับความรุนแรง ส่วนที่เหลืออยู่กับความรุนแรงจนเคยชินผ่านสังคมสื่อสารโซเชียลมีเดียจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา จึงง่ายที่จะถูกโน้มน้าวจากผู้นำที่เขาเชื่อใจ
ความเป็นรัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งโรคระบาด-การสาธารณสุขที่เหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจ ภัยพิบัติธรรมชาติ ทำให้เกิดความหวาดวิตกต่อคนอเมริกัน ที่เชื่อว่าตนนั้นดีที่สุดอยู่ในประเทศที่ดีที่สุด และสภาพความเป็นจริงไม่เป็นดังคิด เกิดระแวงว่าเป็นเช่นนี้เพราะคนอื่นๆ เป็นปัญหาภายนอกที่ต้องจัดการอย่างเข้มข้น เพื่อพึ่งใครไม่ได้ก็ต้องพึ่งตนเอง และที่แย่ทุกคนมีอาวุธถูกต้องตามกฎหมาย