จับตา!!พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐฯ “ออคัส” แส่อาเซียน ประกาศจับมือพัฒนาขีปนาวุธเร็วเหนือเสียง

1013

กลุ่มความร่วมมือไตรภาคี สหรัฐ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ประกาศเดินหน้าความร่วมมือด้านขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก นอกเหนือจากการสร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์ในฐานทัพของออสเตรเลีย ทั้งนี้เพื่อตอบโต้รัสเซีย-จีน ที่โชว์ศักยภาพทางทหารขีปนาวุธเหนือเสียงมาก่อนหน้านี้ และจะนำมาใช้ในประเด็นความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก ซึ่งพุ่งเป้าเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในอาเซียนและน่านน้ำทะเลจีนใต้ เพื่อต้านอิทธิพลจีนอย่างถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2565 สำนักข่าวเดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษ รายงานว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าร่วมกับ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือในนามกติกาไตรภาคี ‘ออคัส’ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมกัน เกี่ยวกับการเดินหน้าความร่วมมือพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก และ “การพัฒนาศักยภาพเพื่อต่อสู้กับสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ซึ่งรวมถึงการแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับศักยภาพทางกลาโหม

ข้อตกลงทางทหารซึ่งรับรองโดย Joe Biden, Boris Johnson และนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย Scott Morrison เป็นองค์ประกอบใหม่ในสนธิสัญญา Aukusซึ่งเดิมประกาศเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วเพื่อจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ไปยังแคนเบอร์รา

ถ้อยแถลงจากผู้นำทั้งสามได้ประกาศขยายข้อตกลงเพิ่มเติม โดยอธิบายว่าเป็น “ความร่วมมือไตรภาคีใหม่เกี่ยวกับอาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงและอาวุธต่อต้านเสียงเหนือเสียง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มกำลังทหารที่เพิ่มขึ้นหลังจากการรุกรานของรัสเซียและการพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารของจีนในเอเชีย-แปซิฟิก

จีนได้ทดสอบอาวุธในเวอร์ชันของตนเองแล้ว และ ผู้นำของ Aukusก็กระตือรือร้นที่จะถูกมองว่าเป็นแนวร่วมต่อต้านปักกิ่งและมอสโกว์ เจ้าหน้าที่อังกฤษกล่าวว่า “ความสามารถของเราในการพิจารณาการใช้งานและเพื่อต่อต้านการใช้งานจะเป็นส่วนสำคัญของการรักษาเสถียรภาพทั่วโลก”

สหรัฐฯ ทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกของตัวเองอย่างเงียบๆ เมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าจะเก็บรายละเอียดเป็นความลับเป็นเวลาสองสัปดาห์เพราะกลัวว่ารัสเซียจะล่วงรู้ และประกาศร่วมมือกับออสเตรเลียแล้ว จึงหมายความว่าสหราชอาณาจักรได้มีส่วนร่วมต่อการสร้างขีปนาวุธประสิทธิภาพสูงเป็นครั้งแรก

สตีเฟน เลิฟโกรฟ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหราชอาณาจักร(Stephen Lovegrove, the UK’s national security adviser) กล่าวว่า “การประกาศล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของ Aukus ในแง่ของการตอบโต้ต่อรัสเซียและจีน  สิ่งที่สำคัญคือการที่พันธมิตรทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องประชาธิปไตย กฎหมายระหว่างประเทศ และเสรีภาพทั่วโลก”

ขณะที่นายจาง จวิน เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่าบุคคลกลุ่มใดก็ตามที่ไม่ประสงค์ให้ประเทศหรือภูมิภาคแห่งใด “เผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกับยูเครน” ควรถอยห่างจากการดำเนินการที่จะทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ในพื้นที่แห่งนั้น พูดให้ง่ายก็คือ “ไม่อยากให้เกิดสงครามแบบยูเครนก็อย่าทำให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

ทั้งนี้ เทคโนโลยีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกเป็นอีกหนึ่งมิติความขัดแย้งด้านความมั่นคงของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ สหรัฐ จีน และรัสเซีย โดยรัฐบาลวอชิงตันเคยให้ความเห็น ว่ารัสเซียและจีนเดินหน้าพัฒนาอาวุธไฮเปอร์โซนิกอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐ “ต้องตอบสนองให้สอดคล้องกัน” แต่คาดหวังว่า จะมีการหารือกันในระดับนานาชาติ เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ และกลไกที่เป็นพื้นฐานเดียวกัน เกี่ยวกับการพัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก

ส่วนรัฐบาลมอสโกว์เคยแสดงทรรศนะว่า โครงการดังกล่าวทั้งของรัสเซียและจีน อยู่ภายในกรอบของข้อตกลงระหว่างประเทศ ในมิติเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ เนื่องจากทุกโครงการมีวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงและการปกป้องอธิปไตยแบบเดียวกับที่สหรัฐเองก็ดำเนินการมาก่อนหน้านี้

เจ้าหน้าที่เพนตากอนได้ประเมินว่าอาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงจะเพิ่มงบประมาณ อีก 21,500 ล้านดอลลาร์สหร้ฐ กล่าวคือ 16,400 ล้านดอลลาร์ห้กับงบประมาณของกองทัพเรือและ 7,000 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทัพบกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้ว่าการประมาณการจะเป็นเพียงคร่าวๆ แหล่งข่าวในอังกฤษกล่าวว่าสหราชอาณาจักรยังไม่ได้ให้คำมั่นที่จะซื้ออาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงใดๆอย่างเป็นทางการ  รวมถึงการมีส่วนร่วมในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต้องมีการเสนอต่อรัฐสภา

เคท ฮัทสัน(Kate Hudson) เลขาธิการกลุ่ม CND กล่าวว่าเธอเชื่อว่าการต่ออายุสนธิสัญญา Aukus จะ “ทวีความตึงเครียดทั่วโลกมากขึ้นในช่วงเวลาที่ภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์สูงสุดในรอบหลายทศวรรษ และเสี่ยงที่จะเร่งสร้างอาวุธ แข่งกับจีนในเอเชียแปซิฟิกด้วย

ฮัดสันกล่าวเสริมว่า“ไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่างบประมาณทางการทหารกำลังเพิ่มสูงขึ้นแล้ว จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในยการเริ่มต้นอาวุธประเภทใหม่ทั้งหมดจะเป็นเท่าไร”

สิ่งนี้นักวิเคราะห์มองว่าเป็นประโยชน์ทางการเมืองต่อสก๊อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ซึ่งรัฐบาลผสมในแคนเบอร์รากำลังเสื่อมความนิยม ขณะที่เตรียมสำหรับการเลือกตั้งระดับสหพันธรัฐที่คาดว่าจะมีในวันที่ 14 หรือ 21 พ.ค.ที่จะถึงนี้

มอร์ริสัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการรณรงค์หาเสียงอย่างเป็นทางการภายในไม่กี่วันข้างหน้า  กำลังพยายามทำให้ความมั่นคงของชาติเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของเขา โดยอ้างว่าโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน  และไม่ใช่เวลาสำหรับความอ่อนแอ โดยปลุกกระแสรักชาติและ ไม่พอใจจีนและรัสเซียเป็นประเด็นสำคัญ