นักวิชาการดัง เปิดเหตุ “ยูเครน” ทำทั่วโลกพลอยเดือดร้อน! ชี้ ปธน.ไม่เลือกเป็นกลาง-ไม่ดูปท.อื่น!

1114

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (10 มีนาคม 2565) นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยบอกว่า

โมเดลความเป็นกลางที่ผู้นำยูเครนไม่เลือก ทำให้โลกทั้งโลกเดือดร้อนไปด้วย! การยุติสงครามด้วยความเป็นกลางของยูเครน
CNA
Stefan Wolff and David Hastings Dunn are a Professor of International Security and a Professor of International Politics in the Department of Political Science and International Studies at the University of Birmingham respectively. This commentary first appeared in The Conversation.
หนึ่งในเหตุผลของวลาดิมีร์ ปูติน ในการใช้กำลังทหารเข้าไปปลดอาวุธในยูเครน ( Demilitarization ) ของเขาคือความจำเป็นในการถอด “มีดสั้นที่จ่อคอหอยของรัสเซีย” โดยยืนยันถึงความเป็นกลางและกำหนดให้เป็นประเทศปลอดทหารของยูเครน ความเป็นกลางในขอบเขตที่สามารถทำได้บนพื้นฐานของคำประกาศของปูตินที่ยืนยันมาหลายปีมาจนถึงปัจจุบัน คือ
1.ยูเครนจะต้องสละสิทธิ์ในการเข้าร่วมกับ NATO หรือสหภาพยุโรป
2.เป็นเขตปลอดทหารอย่างสมบูรณ์และ
3.ไม่อนุญาตให้ต่างประเทศ (โลกตะวันตกและนาโต) ตั้งฐานทัพทหารในยูเครน และถอนฐานทัพที่มีอยู่ให้ออกไปให้หมด วิสัยทัศน์ของรัสเซียเรื่องความเป็นกลางสำหรับยูเครนหมายถึงรัฐบาลที่เป็นมิตรกับมอสโคว์ทั้งในนโยบายในประเทศและต่างประเทศ Model ฟินแลนด์ของยูเครน
แนวคิดเรื่อง “Finlandisation” ของยูเครนได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง กรอบกฎหมายสำหรับเรื่องนี้ประกอบด้วยสนธิสัญญาสันติภาพปี 1947 กับฟินแลนด์และข้อตกลงมิตรภาพ ความร่วมมือ และความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของฟินโน-โซเวียตปี 1948
มาตรา 8 ของสนธิสัญญาปี 1947 กำหนดให้ฟินแลนด์ห้าม “องค์กรต่างๆมาโฆษณาชวนเชื่อให้เป็นศัตรูกับสหภาพโซเวียต” ต่อมา มีข้อตกลงปี 1948 แม้จะไม่ได้ให้ปลอดทหาร แต่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 4 ว่าฟินแลนด์ต้องไม่ “เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรใดๆ ที่มุ่งต่อต้าน” สหภาพโซเวียต สนธิสัญญาสันติภาพปี 1947 กับฟินแลนด์ยังยืนยันอีกครั้งถึงบทบัญญัติของข้อตกลงสงบศึกปี 1944 ที่ฟินแลนด์จะให้สหภาพโซเวียตเช่าฐานทัพเรือให้เป็นเวลา 50 ปี ซึ่งมอสโคว์ขอยกเลิกในปี 1956
ตัวอย่างอื่นๆ ที่เป็น “แบบอย่างประสบความสำเร็จ” ในความเป็นกลางซึ่งเป็น “แนวทางแก้ไขปัญหา” ที่เป็นไปได้สำหรับวิกฤตในปัจจุบัน ได้แก่ สนธิสัญญารัฐออสเตรียปี 1955 และความเป็นกลางก่อนหน้าของเบลเยียม ซึ่งตกลงกันในการประชุมลอนดอนระหว่างปี 1830-1832 ได้กำหนดไว้ตามสนธิสัญญารัฐออสเตรีย ว่า กองเมื่อกำลังพันธมิตรทั้งหมดได้ถอนกำลังออกจากประเทศออสเตรียก็จะยึดถือความเป็นกลางถาวรโดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ และสภาต้องทำตามรัฐธรรมนูญ โดยรัฐสภาประกาศว่า “ในอนาคตออสเตรียจะไม่เข้าร่วมกับพันธมิตรทางทหารและจะ ไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งฐานทัพทหารของต่างประเทศใด ๆ ในอาณาเขตของเธอ”
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เบลเยียมกลายเป็น “รัฐที่เป็นกลางตลอดกาล” ภายใต้เงื่อนไขของการประชุมลอนดอน มหาอำนาจทั้ง 5 แห่งในยุคนั้น ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส ปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย ทำหน้าที่ “รับประกันความเป็นกลางถาวรตลอดจนการเคารพในบูรณภาพและอาณาเขต ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของอาณาเขตของเบลเยี่ยม
จากบทสนทนาและเสวนาข้างต้น
โมเดลทั้งหมดนี้ ประธานาธิบดียูเครนเลือกได้เพื่อให้เกิดสันติภาพและการอยู่ร่วมกันกับรัสเซียอย่างถาวร เหมือนประเทศต่างๆข้างต้น แต่ไม่เลือก โลกทั้งโลกจึงพลอยยุ่งเหยิงเดือดร้อนไปด้วยจากราคาน้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง สินค้าขาดแคลน คนตกงาน ผู้นำประเทศไหนเลือกข้าง ไม่เป็นกลาง จะทำให้ประชาชนของตนยิ่งเดือดร้อนมากขึ้น ( จับตาดูรัฐบาลใหม่เกาหลีใต้) ณ. วันนี้ ประชาชนจำนวนหนึ่งเลือกข้าง และกลับเป็นฝ่ายผลักดันรัฐบาลให้เลือกข้าง?