จากที่พรรคพลังประชารัฐมีมติขับ 21 ส.ส. โดยกรรมการบริหารพรรค ต่อมาหนึ่งในส.ส.ออกมาโวยวาย ว่าไม่ใช่กลุ่มของร.อ.ธรรมนัส ทั้งยังโดนจับใส่ชื่อให้ถูกขับออกมานั้น
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ พันธุ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา 1ในจำนวน ส.ส.21 คนที่ถูกระบุว่าอยู่ในกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยเนื้อหาบางช่วงที่นายสมศักดิ์ ออกมาเปิดเผยระบุว่า กรรมการบริหารพรรคจึงควรตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือคณะะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จริงเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและเป็นธรมก่อนว่าตนเองกระทำการตามที่ถูกกล่าวอ้างจริงหรือไม่ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวของ ร.อ.ธรรมนัสฯ อย่างไร
โดยควรจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงและนำเสนอพยานหลักฐานอันเป็นสิทธิพื้นฐานตามรัฐรรมนูญ และยังเป็นการป้องกันมิให้เกิดการใช้อำนาจของคณะกรรมการบริหารพรรคไปในทางที่มิชอบครอบงำ หรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคตามรัฐธรรมนูญตามหลักการข้อบังคับพรรคข้อ 7 (4)
“ก่อนวันที่ 19 มกราคม 2565 ข้าพเจ้าได้รับทราบจากนายวิวัช รัตนเศรษฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ว่า นายวิรัชฯ ได้ใส่ชื่อของข้าพเจ้าไว้กับคณะของ ร.อ. ธรรมนัส ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการปรับเปลี่ยนระบบของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ประกอบกับนายวิรัชฯ เคยเป็นประธานวิปรัฐบาลทำให้ข้าพเจ้า เข้าใจว่านายวิรัชฯ หมายความว่าจะให้ข้าพเจ้าอยู่ในการดูแลของ ร.อ. ธรรมนัสฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าจึงไม่ได้สงสัยในข้อเท็จจริงดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2565 มีการส่งข้อความทางไลนให้ข้าพเจ้ามาร่วมประชุมกับ หัวหน้าพรรคที่มูลนิธิป่ารอยต่อ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงห้องประชุมที่มูลนิธิป่ารอยต่อปรากฎว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนประมาณยี่สิบคน อยู่ในห้องประชุม เมื่อหัวหน้าพรรคเข้ามาในห้องประชุมได้แจ้งว่า ร.อ. ธรรมนัสฯ จะออกจากพรรค โดยจะมีการย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย และจะให้ พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค ให้นายอภิชัย เตชะอุบล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาชิการพรรค และให้พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นที่ปรึกษาพรรค
โดยจะให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐที่เป็นกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัสฯที่รวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมนั้นย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย พร้อมกับ ร.อ. ธรรมนัสฯ ด้วย โดยมีเจ้าหน้าที่นำใบสมัครสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทยมาให้ข้าพเจ้า และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐที่อยู่ในห้องประชุมลงนาม
ข้าพเจ้าจึงเพิ่งจะทราบความจริงว่าที่นายวิรัชฯ บอกกับข้าพเจ้าว่านำชื่อข้าพเจ้าไปอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัสฯ นั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าจะให้ข้าพเจ้าย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยร่วมกับ ร.อ.ธรรมนัสฯ นั่นเอง
ขณะนั้นมีการอ่านชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐที่ยังไม่มาประชุมซึ่งมีชื่อของ นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ ส.ส. กำแพงเพชร ด้วย ข้าพเจ้าจึงเดินออกจากห้องประชุมโดยวางใบสมัครสมาชิกพรรดเศรษฐกิจไทยทิ้งไว้ ไม่นำติดตัวออกมา ช่วงที่เดินออกจากห้องประชุมนั้นข้าพเจ้าพบกับนายอนุชา นาคาศัย และนายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส. ของพรรคที่เป็นรัฐมนตรีด้วย ข้าพเจ้าจึงพูดกับคนทั้งสองว่า ข้าพเจ้าไม่ย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย
ต่อมาระหว่างที่ข้าพเจ้านั่งรอพบแพทย์มีรายงานข่าวทางโทรทัศน์ว่าที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐมีมติให้ข้าพเจ้าออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเนื่องจากข้าพเจ้าได้ร่วมกับ ร.อ. ธรรมนัสฯ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎอื่นรวม 21 คน เสนอปรับโครงสร้างพรรคที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อพรรค แต่กลับไม่ปรากฏชื่อของนายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ ข้าพเจ้าจึงติดต่อสอบถามกลับมายังที่ประชุมว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นและข้าพเจ้าไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการเสนอปรับโครงสร้วงพรรคใดๆ ของ ร.อ. ธรรมนัสฯ ทั้งสิ้น
เช้าวันที่ 20 มกราคม 2565 ข้าพเจ้าได้มาพบหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเพื่อแจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงและความประสงค์ของข้าพเจ้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอปรับโครงสร้างพรรคของ ร.อ. ธรรมนัสฯ และข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ระหว่างนั้นได้พบกับนายไพบูลย์ ข้าพเจ้าจึงแจ้งเรื่องให้นายไพบูลย์ฯ ทราบ นายไพบูลย์ฯ แจ้งว่าไม่ทันแล้วเพราะมีการลงมติไปแล้ว
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้รับความเสียหายจากการกระทำของกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐอย่างชัดแจ้ง จึงขอให้หัวหน้าพรรคและประธานกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐโปรดดำเนินการยกเลิกมติที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและมติที่ประชุม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐที่มีมติให้ข้าพเจ้าออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐข้อ 54 (6) โดยด่วนที่สุด”