ย้อนคำ “พล.อ.ประยุทธ์” ชายชาติทหาร พลีชีพเพื่อชาติ ไม่ยอมแพ้ใคร ยอมตายบนเก้าอี้นายกฯ

1337

ย้อนคำ “พล.อ.ประยุทธ์” ชายชาติทหาร พลีชีพเพื่อชาติ ไม่ยอมแพ้ใคร ยอมตายบนเก้าอี้นายกฯ

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (21 มกราคม 2565) ได้มีกระแสข่าวว่า บรรดาพรรคเล็กจะไปหนุนร.อ.ธรรมนัส ภายหลังออกจากพรรคพลังประชารัฐ แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดับฝันร.อ.ธรรมนัส เพราะต่อมาทางด้าน “ชัช เตาปูน” ก็ออกมายืนยันว่า 4 พรรค 12 เสียงยังพร้อมหนุน “บิ๊กตู่” ไม่ตามร.อ.ธรรมนัสไปแน่นอน

ต่อมาทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 1/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยใช้เวลาการประชุมนานกว่า 2 ขั่วโมง ซึ่งภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยกล่าวกับสื่อมวลชนอย่างอารมณ์ดี หน้าตาสดใสขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ว่า “ สวัสดีจ้ะ เดี๋ยวรอฟังจาก press release (เอกสารข่าว) มีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้นแหละ” พร้อมกับเดินเข้าตึกไทยคู่ฟ้าทันที

ทั้งนี้ มีรายงานจากที่ประชุมดังกล่าว เปิดเผยว่า ในช่วงท้ายการประชุม ศบศ. นายกรัฐมนตรี ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัว เปิดเพลง “เพลงอย่ายอมแพ้”ของ อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ นักร้องชื่อดังในอดีต จ่อไปที่ไมค์ห้องประชุม พร้อมบอกกับที่ประชุมว่า “ผมไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว เพลงเป็นเรื่องการให้กำลังใจทุกคนที่ร่วมทำงานไม่แพ้ต่อปัญหาอุปสรรค เช่นเดียวกับนายกฯไม่เคยยอมแพ้ ทำงานเพื่อชาติและประชาชน”

อย่างไรก็ตามทีมงานนายกฯได้ถามว่า นายกฯจะเปิดให้สื่อฟังหรือไม่ เพราะสื่อนั่งรอสัมภาษณ์อยู่ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวทันทีว่า โอ๊ย หาเรื่อง เดี๋ยวกลายเป็นดราม่าอีก ทั้งนี้หลาย ๆ ฝ่ายก็มีความเชื่อว่า การเปิดเพลงอย่ายอมแพ้ของนายกฯ อาจจะเป็นการแสดงจุดยืนสู้ต่อแม้ถูกฝ่ายธรรมนัสรุกหนักในช่วงเวลานี้

อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่บ่งบอกว่า พลเอกประยุทธ์ที่อุดมการณ์ที่จะทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งทีมข่าวเดอะทรูธจะพาย้อนไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เนื่องจากมีวันหยุดหลายวันทำให้ตนมีเรื่องคิดเยอะ และเรื่องที่สำคัญคือมีคนไปบิดเบือน ในการที่ตนพูดว่าไฟไหม้ป่าเกิดจากคนที่มีรายได้น้อย ที่น่าสงสารไปหากินในป่า และไปจุดไฟ
พร้อมกับกล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่มีการจับกุมผู้มีข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตำรวจมีการชี้แจงหลักฐานมาแล้ว มีสื่อไหนลงหรือไม่ ก็ไม่มีหรือมีนิดหน่อย ไปดูหลักฐานสิ ซึ่งตนเปิดเผยไม่ได้ ให้ไปดูในศาล โดยศาลจะตัดสินเอง ฉะนั้นอย่ามาบิดเบือนกัน จะเป็นคุณแม่หรือคุณลูกทั้งนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดคอมพิวเตอร์ไปตรวจนั้น ไม่ใช่แค่ “จ้า” คำเดียว แต่มีตั้ง 8-9 ประโยค และที่เขียนมาตนรับไม่ได้ เขียนไปเรื่อยเปื่อย แล้วคนก็มาหาว่าตนรังแก แล้วการเขียนแบบนั้น ไม่ทำ มันจะตายหรืออย่างไร เขียนว่าคนโน้นคนนี้

“ผมบอกแล้วรัฐบาลนี้ ผมไม่ยอมรับการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ โดยเด็ดขาด ก็ทำมาตลอด พอเกิดปัญหา มาร่วมรับผิดชอบกับผมไหม มีแต่ติว่ากัน ทั้งๆที่รู้กฎหมายว่าอย่างไร การเปิดที่ต่างประเทศเขาทำอย่างไร เทคนิคการย้ายเป็นอย่างไร เขาทำกันแทบตายแล้วมาหาว่าไม่ทำอะไร หาว่าเอาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มารังแกคน กลายเป็นว่าคนทำความผิดถูกรังแก และกลายเป็นว่ารัฐบาลหวังผลทางการเมือง มันจะหวังทางการเมืองอะไร ผมไม่ได้หวังการเมือง ผมหวังให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ให้ประชาชนมีงานทำ สร้างความสุขให้สังคม ไม่ใช่มีงานทำจากความขัดแย้ง แต่ถ้ามันไปไม่ได้จริงๆ วันหน้าลูกหลานก็อยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องของพวกเธอฉันไม่ยุ่งด้วย”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองวันนี้ทำให้เสียสมาธิในการทำงานหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ช่างการเมือง ตนไม่เล่นการเมือง ไม่สนใจ และไม่ทำให้เสียสมาธิต่อการทำงาน ซึ่งงานก็ทำเท่าเดิม มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จะโมโหก็เรื่องของตน แม้จะโมโหก็ทำงาน ยิ่งโมโหก็ยิ่งทำงาน อยากยั่วก็ยั่วมาไม่เป็นไร ตนทำได้ทั้งสองอย่าง โมโหด้วย ทำงานด้วย ไม่มีท้อแท้ ไม่ต้องกลัวสู้ตายอยู่แล้ว เอาไปพาดหัวได้เลย ไม่มีอะไรทำให้ท้อแท้ ทำเพื่อชาติจะท้อแท้ได้อย่างไร ชีวิตตนยังให้ไปแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต 30 -40 ปี ยังไม่รู้เหรอตนเสียสละอะไรไปบ้าง ทหารตายไปแล้วกี่พันหมื่นคน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่าแล้วสื่อห่วงสุขภาพนายกฯบ้างไหม โดยผู้สื่อข่าวตอบว่า ห่วงเส้นสมองนายกฯจะแตก พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้กล่าวว่า “ไม่แตก ไม่มีแตก ฉันแข็งแรงพอ จะแตกก็ให้มันรู้ไป แตกเพื่อชาติจะเป็นอะไรไป เธอเคยคิดไหม ต่อให้ตายสิบครั้งฉันก็ยอมตาย ถ้าประเทศมันจะดีขึ้น คิดกันแบบนี้ เสียบ้าง คิดให้มันเกินๆ
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.ค. น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก “Wassana Nanuam” ระบุว่า “ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ต่อสงครามครั้งนี้” “บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณ ไม่ลาออก มีแต่จะสู้ ไม่ยอมแพ้ จะสู้จนกว่า จะชนะ
“ผมขอให้พวกเราทุกคน ไม่ยอมแพ้ ต่อช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมและรัฐบาลจะหาทางช่วยทุกท่านให้ได้มากที่สุด และจะไม่มีวันยอมแพ้ ต่อสงครามครั้งนี้ ไม่ลดละเลิกล้มความพยายาม ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัญหาใดๆ และจะสู้จนกว่าเราจะเอาชนะได้ครับ” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุ ในเฟซบุ๊ก
ต่อมา เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ลุงตู่ประกาศไม่ทิ้งประชาชน ชายชาติทหารยอมตายในสนามรบ เมื่อแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ออกมาสยบข่าวลือเรื่องนายกฯ พระราชทาน และยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งปีครึ่ง โดยให้เหตุผลว่า ไม่ได้ทำผิดอะไร จะไม่ยอมทิ้งประเทศ และจะไม่ทิ้งประชาชน ในยามวิกฤต แม้ว่าจะมีกระแสกดดันมากมาย มาจากทั่วทุกสารทิศ มีการคอลเอาท์ของคนดัง ศิลปินดารา นักร้อง นักแสดงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีผลโพลระบุว่า ประชาชนที่มีความเชื่อมั่นรัฐบาลชุดนี้ แค่ 1.8% ไม่เคยเชื่อมั่น 87.3% ไม่เชื่อมั่นแล้ว 10.9%

 

ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเป็นนักการเมืองอาชีพ ผมคิดว่าคงทนแรงกดดัน หรือกระแสสังคมไม่ไหว อาจจะพิจารณาตัวเองลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว เพราะการลาออกเป็นการแสดงสปิริต เป็นเรื่องปกติทางการเมืองไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือการพ่ายแพ้ ซึ่งวันหนึ่งก็สามารถกลับมาได้อีก  หากประชาชนเลือกเข้ามาใหม่

แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีมาจากทหารอาชีพ ก็มีความคิดแบบชายชาติทหาร คือไม่ยอมแพ้ขอตายในสนามรบ และเมื่อได้มีโอกาสเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีแนวความคิดเช่นเดิม คือ จะไม่ยอมแพ้ ขอตายคาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ผมเข้าใจในความคิดของคนที่เป็นทหารมาก่อนเป็นอย่างดี เพราะผมเคยเป็นนักศึกษา วปอ. เรียนหลักสูตรวิชาป้องกันประเทศ กับเพื่อนที่เป็นนายทหารมาก่อน ผมเคารพในความคิดของ พลเอกประยุทธ์ ผมขอท่านโชคดี