อนุชา รับไม่ได้ปฏิรูปสถาบันอยู่ใต้รธน. ลั่น ผู้ชุมนุมมาไม่มากกว่า ม็อบ 19 กันยา

2713

อนุชา รับไม่ได้ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันอยู่ใต้รธน. ลั่นยืนตรงข้าม แต่เรื่องอื่นคุยได้หมด หยามเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็นคณะราษฎร แค่หาแนวร่วมหลังจุดม็อบไม่ติดเชื่อชุมนุม 14 ต.ค.คนไม่มากกว่าเดิม

เมื่อเวลา 10.45 น.  วันที่ 9 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของ “กลุ่มคณะราษฎร” ในวันที่ 14 ต.ค. มีความกังวลอะไรหรือไม่ว่า ไม่มี เราไม่เห็นว่ามีอะไรแตกต่างจากครั้งก่อน และนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้าย ถือเป็นการแสดงออกของนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งเป็นลูกหลาน ที่มาแสดงออกตามสิ่งที่เขาคิด เขาเห็น  และสิ่งที่เขาอยากให้มันเกิด อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ประชาชนเห็นด้วยหรือเห็นต่างอย่างไร เราต้องรอดูผลความคิดเห็นของสังคมส่วนรวมด้วย ถ้าถามว่าเป็นกังวลหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเป็นกังวล เป็นห่วง นิสิต นักศึกษาที่เป็นลูกหลาน อยากให้ทุกฝ่าย ดำเนินการตามขอบเขตรัฐธรรมนูญตามขอบเขตประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งความเห็นต่างไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การดำเนินการให้บ้านเมืองสงบสุข นำความเห็นต่างสู่เวทีประชาธิปไตยที่เราอยากเห็น โดยไม่เกิดวิบัติ กับชาติบ้านเมือง ซึ่งกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวจะได้เข้าใจขึ้นเป็นตามลำดับ ตามที่เขาได้พยายามเรียกร้อง

เมื่อถามว่าประเมินหรือไม่ว่ามีผู้ชุมนุมจะมามากกว่าวันที่ 19 ก.ย. นายอนุชา กล่าวว่า ตอนนี้คงประเมินอะไรได้ไม่มาก คงมีผู้ร่วมอุดมการณ์ และคงอยู่ในกรอบตามที่เขาดำเนินมา และคงไม่แตกต่างไปกว่าเดิม ส่วนที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มคณะราษฎรนั้น ส่วนตัวคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาจะเปลี่ยนมิติ เพราะที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่เขาคิด จึงเปลี่ยนรูปแบบเพื่อหาแนวร่วมเพิ่มเติม เป็นสิ่งที่เราวิเคราะห์

เมื่อถามว่าเป็นการโยงคณะราษฎรในอดีตหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ไม่เป็นไรถือเป็นความคิดเห็นและเขาต้องการให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง แต่สังคมต้องการด้วยหรือไม่ สังคมต้องตอบ อยู่ที่ประชาชนคนไทย จะเป็นผู้ตอบโจทย์ประเทศจะไปในทิศทางไหน

“อยากวิงวอนนิสิต นักศึกษาหันหน้ามาคุยกันเพื่อหาทางออกให้ประเทศ รัฐบาล และนายกฯมีความจริงใจ และเป็นห่วงลูกหลานทุกคนไม่มีความคิดเป็นอย่างอื่น ไม่มีความคิดมาดร้ายหรือคุกคาม แต่บางครั้งผู้ชุมนุมอาจเกินเลย เรื่องขอบเขตกฎหมาย ซึ่งเราก็เห็นกันอยู่ เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเกินเลยแล้ว แต่รัฐบาล หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอะลุ่มอล่วย ให้เขาได้แสดงออก ส่วนการตัดสินใจเป็นหน้าที่ของประชาชนซึ่งคุมเสียงของประเทศเพราะเราต้องช่วยนำพาประเทศพ้นวิกฤติไปให้ได้เพราะมีวิกฤติอยู่หลายเรื่อง เช่นโควิด – 19  ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำได้ดี ซึ่งประชาชนก็ต้องช่วยกันและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งการชุมนุมก็มีความเสี่ยง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะเขาก็บอกว่าเป็นสิทธิ์” นายอนุชา ระบุ

เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ  นายอนุชา กล่าวว่า บ้านเมืองเรามีเสาหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มานาน ที่เราไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่อยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ เรามาแถลงข่าวยืนพูด เดินขบวนกันได้ขนาดนี้ นับเป็นโชคดีของประเทศไทย ที่เรามีเสาหลัก ที่สามารถคานอำนาจสิ่งที่ไม่คาดฝันเหมือนที่ประเทศอื่นได้รับ นี่คือสิ่งที่เป็นคุณูปการที่เราได้รับมา ส่วนตัวถ้ามีเรื่องนี้ไม่เอาแน่นอน  หัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่มีตนอยู่ในนั้นแน่นอนในการคิดและเปลี่ยนในสิ่งนี้ ถ้ามีเรื่องนี้ตนก็เดินตรงข้ามอย่างเต็มที่ เว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นคุยได้หมด เพราะเรื่องนี้คนคิดว่าเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองที่เราอยู่ปลอดภัยมา บางครั้งอะไรที่เราควรจะอดทนอดกลั้นเพื่อประเทศที่สงบและมีเสาหลักคานให้เราอยู่ได้เป็นที่ค้ำยันให้เรามีเสรีภาพในระบอบของเมืองไทยของเรา และเมืองไทยของเราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคนอื่น100% และสิทธิเสรีภาพที่เราก็ค่อนข้างสูงแล้วในโลกใบนี้
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้มอบหมายให้ใครเป็นผู้ประสานงานกับผู้ชุมนุม เพราะเขายังไม่ระบุว่าจะยื่นหนังสือมาที่รัฐบาลแต่อย่างใด