ย้อนวีรกรรม “ทักษิณ” นั่งปธ.ทำบุญวัดพระแก้ว วิจารณ์สนั่นไม่มีพระบรมราชานุญาต? ก่อนวิษณุแจงรัวๆ
จากกรณีที่นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศยืนยันเจตนารมณ์พร้อมนำข้อเสนอแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 และ 116 เข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร นั่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย
ซึ่งหลายคนได้เกิดคำถามว่า การที่ทางพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า จะมีการเสนอให้แก้กฎหมายมาตรา 112 นั้น การทำแบบนี้ ทำเพื่ออะไร เพื่อใคร หากย้อนไปพ่อของอุ๊งอิ๊ง ก็เคยมีพฤติกรรม ที่ทำให้คนไทยสงสัย ข้องใจทั้งประเทศมาแล้ว
ย้อนไปก่อนหน้านี้ เมื่อ ปี2548 นายทักษิณ ได้ทำบุญประเทศในพระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยไม่มีพระบรมราชานุญาต ซึ่งทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความเหมาะสมถึงภาพถ่ายของนายทักษิณ ที่เป็นประธานในการจัดงานทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ว่า การไปออกรายการโทรทัศน์ชี้แจงไม่มีใครสั่ง แต่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และ ช่อง 9 เป็นผู้ติดต่อมาหลายวันแล้ว และตนก็ไม่ได้หารือกับนายกฯ ซึ่งสาเหตุที่เลือกไปชี้แจงทางรายการโทรทัศน์ เพราะมันต้องมีเอกสาร มีรูปภาพ มีคำอธิบาย และมีจดหมายบางอย่างที่เราจะใช้แล้วเจ้าของจดหมายต้องอนุญาตและเผยแพร่ได้ ที่สำคัญเห็นว่าเรื่องทั้งหมดควรจะต้องออกให้คนได้ทราบ และหลังจากนั้นใครจะเจาะ ใครจะซักอะไรก็เชิญ ซึ่งที่แล้วมาตนคิดว่ามีข้อจำกัดหลายอย่างในการจะพูด บัดนี้ข้อจำกัดเหล่านั้นไม่มีแล้วโดยสิ้นเชิง แต่ข้อจำกัดที่ว่านี้ไม่ขอตอบ
เมื่อถามถึงการใช้สถานที่วัดพระแก้วของงานพิธีสำคัญๆ นายวิษณุ กล่าวว่า “ถ้าถามเรื่องนี้ ผมขอตอบว่าเข้าไปได้ แต่การขึ้นไปทำพิธีต้องขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น ทีนี้คำตอบว่าที่รัฐทำไป รัฐได้ขอพระบรมราชานุญาตหรือไม่ เพราะถ้าหากว่ารัฐไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ก็ผิดใหญ่ผิดโต ถ้าขอพระบรมราชานุญาตแล้วก็ไม่ผิด ส่วนที่บอกว่าขอพระบรมราชานุญาตแล้ว และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว แต่ได้รับทีหลัง เพราะคุณดันจัดไปก่อน ก็ผิดอีก ถ้าทำอย่างนั้น”
เมื่อถามว่า มองกันว่าการเตรียมงานมีมานาน แต่ทำไมเพิ่งทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาต ในวันที่ 8 เมษายน 48 ขณะนี้งานจัดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 48 นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าถามประเด็นนี้ตนตอบให้ก็ได้ คือรัฐบาลโดยตนในฐานะประธานทำหนังสือไปถึงสำนักพระราชวังตามที่คณะกรรมการมีมติว่าต้องขอไปที่สำนักพระราชวังเพื่อนำความกราบบังคมทูล ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม เมื่อมีไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบยาวนาน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้แจ้งมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาไม่ได้แจ้งมาที่ตน เพราะที่อยู่ในหนังสือลงว่าสำนักพุทธฯ เจ้าหน้าที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เขารู้กัน ตนจำไม่ได้ ลืมไปแล้ว แจ้งไปที่สำนักพุทธฯ ว่า เนื่องจากหนังสือที่ขอไป ขอ 3 ข้อ
คือ 1.ขอใช้วัดพระแก้ว พระอุโบสถ ไม่ใช่ระเบียงด้วย
2.เป็นการขอให้เปิดปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งปกติเปิดปีหนึ่งทีสองที ถ้าจะเปิดนี้เรื่องใหญ่เลย
3.ให้โทรทัศน์ช่อง 11 ไปตั้งกล้องถ่ายทอดได้ด้วย นี้คือเรื่องใหญ่ สำนักพระราชวังไม่มีอำนาจจะอนุมัติในสิ่งเหล่านี้ เดิมเขานึกว่าเขามีอำนาจ แต่พอเขาดูแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรอท่านเลขาธิการพระราชวังกลับมาจากไหนไม่รู้ มาดูแล้ว ท่านไม่มีอำนาจ ต้องให้ราชเลขาธิการ ซึ่งคนก็ไม่เข้าใจว่ามันคนละคนกัน นำความกราบบังคมทูล
“เพราะฉะนั้น ถ้าสำนักพุทธฯ ยังยืนยันว่าจะจัด และยังยืนยันว่าจะขอให้สำนักราชเลขาฯ นำความกราบบังคมทูล ช่วยทำหนังสืออีกฉบับมาถึงสำนักราชเลขาฯ แต่บัดนั้นวันที่เขาแจ้งมา เป็นวันศุกร์ที่ 8 เมษายน เวลาบ่าย ผมไม่อยู่ ไปไหนก็ไม่รู้ เช็กไม่ได้ และ ผอ.จักรธรรม ท่านก็ไม่อยู่ ท่านผู้อำนวยการสำนักมหาเถรสมาคม ซึ่งใหญ่มาก ซี 9 เขาก็อยู่ เขาก็โทรศัพท์ตามใครต่อใคร และบอกว่าถ้าอย่างนั้นดิฉันขอลงนามไปเองได้มั้ย ใครก็ไม่รู้ บอกว่า คุณไปถามสำนักราชเลขาฯ เขายอมมั้ย หัวหน้าหน่วยงานไม่เซ็น คุณเซ็น ยอมมั้ย
สุดท้ายถามไปทางโน้นก็บอกว่ายอมเพราะกำลังจะขึ้นเฝ้าฯ ถ้าพลาดหนนี้ มะรืนคุณไม่ได้จัดแล้วงาน เพราะอาทิตย์ที่ 10 จะจัดงานแล้ว ทาง ผอ.จุฬารัตน์ ก็เลยทำหนังสือและแฟกซ์ไปให้ ตัวจริงไปส่งที่กรุงเทพฯ เพราะเจ้าหน้าที่ที่โทร.มา เขาอยู่หัวหิน ตัวจริงเอาไปให้ที่ กทม.แล้วแฟกซ์ไปที่หัวหิน เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ก็นำความกราบบังคมทูล โดยวิธีใดอย่างไรตนไม่รู้ด้วย เมื่อเฝ้าฯเสร็จกลับลงมาวันเสาร์ที่ 9 เมษายน ก็โทรศัพท์แจ้ง และแฟกซ์หนังสือตอบมา เพียงแต่เว้นการเซ็น เพราะว่าเขาไม่ได้ลงที่เอาไว้ ตรงที่ 0006/ ตรงนั้นไม่ได้ใส่ เพราะไม่รู้ทับอะไร และข้างล่างเขาก็ไม่ได้เซ็นเอาไว้ เพราะเขารอราชเลขาฯเซ็น แต่แจ้งมาว่ามีพระบรมราชานุญาตแล้ว โทรศัพท์แล้วและบอกด้วยว่าแน่นอน ประตูโบสถ์ วัดพระแก้วก็ปิด พระเทพบิดรก็ปิด
ฉะนั้น เมื่อมีพระบรมราชานุญาตทางสำนักราชเลขาธิการ ก็จะมีหนังสือแจ้งไปยังสำนักพระราชวัง ให้ไปเปิดวัดพระแก้ว เปิดปราสาทพระเทพบิดร จัดอาสนะที่นั่ง ตั้งโต๊ะ หมู่บูชาจัดดอกไม้ ทั้งหมด ไม่ต้องมีใครจัด เขาจัดเอง รวมทั้งน้ำปานะ สำหรับเลี้ยงพระ 20 กว่ารูป และน้ำที่เลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่ชาวบ้านทั้งหมดด้วย ของอย่างนี้ห้ามใครเข้าไปจัด เขาต้องจัดของเขาเองทั้งสิ้น ภาชนะ เขามีของเขาหมด เรียบร้อย เขาจะแจ้งไปยังสำนักพระราชวัง บัดนั้นเราก็ทราบกันหมดแล้วว่าโอเค แต่หนังสือเขายังไม่ออกมา เขาจะออกมาเป็นทางการให้ วันนี้เขาจัดให้อย่างนี้ เพราะมันจะถึงแล้ว เวลามันกระชั้นชิด ซึ่งวิธีปฏิบัติราชการโดยแบบอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องอัศจรรย์เป็นเรื่องปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าจุดที่นั่งต่างๆ สำนักพระราชวังเป็นคนจัด นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ และพูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปโยนบาปใส่เขา ว่าเขาจัดผิดด้วยนะ แต่เขามีประเพณีปฎิบัติของเขา อันนี้คือสิ่งที่บอกว่า ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าทำไมไปนั่งตรงนั้น แต่ถ้ารู้ก็จะอธิบายต่อไปว่า กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับ จะประทับนั่งตรงไหน ถ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะประทับตรงไหน ถ้าองคมนตรีต้องนั่งตรงไหน คนอื่นต้องนั่งตรงไหน ถ้าใครนึกภาพโบสถ์วัดพระแก้วออก เข้าไปหันหน้าก็เจอพระแก้ว ถ้าพระสงฆ์ก็ต้องนั่งอยู่ทางขวา หันข้างให้พระแก้ว
ถ้าเวลาเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะประทับหันหน้าพระพักตร์ ไปยังพระสงฆ์เพียงองค์เดียว คนที่เฝ้าอื่นก็ต้องนั่งหันหน้าเข้าหาพระแก้วทั้งสิ้น และทำไมวันนั้น 10 เมษา ทั้งนายกฯ และทุกคนหันหน้าเข้าหาพระสงฆ์ ทุกคนหันหน้าเข้าหาพระแก้ว นั่งผิดหรือ เขาจัดเก้าอี้ไว้อย่าง ทุกคนพร้อมใจกันหมุนเก้าอี้ไปหา พระหรือ หรือคิดว่าคิดว่าเก้าอี้ ครม.เอาไปเอง แม้แต่เก้าอี้ คนที่ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าเก้าอี้ เขามีลำดับศักดิ์ ฐานะของเขาเก้าอี้ที่ประทับเราเรียกว่าพระราชอาสน์ เป็นอย่างไร ต้ององค์นั้น องค์อื่นไม่ได้ ถ้าเป็นเจ้านายพระองค์อื่น เขาเรียกว่า เก้าอี้จักรี ถัดมา เขาเรียกว่า เก้าอี้แดงทอง ถัดมาเก้าอี้แดงเหลือง ถัดมาเก้าอี้แดงแดง ก็ต้องกลับไปดูว่า นายกฯ นั่งเก้าอี้อะไร รัฐมนตรีนั่งเก้าอี้อะไร มันมีลำดับศักดิ์และชื่อ
ในขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้ออ้างของรัฐบาล (สมัยทักษิณ ชินวัตร) ที่อ้างถึงพระบรมราชานุญาตให้ใช้สถานที่ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีศาสดารามในการเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยได้ชี้ให้เห็นเปรียบเทียบกรณีการตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน ซึ่งมีการตั้งคำถามไปหลายครั้ง แต่ไม่เคยตอบ แต่เมื่อจวนตัวถึงได้ตอบชี้แจงจำนวน 4 ข้อ หรือหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯถวายผ้าพระกฐินที่วัดบวรนิเวศ ทำให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแถลงยืนยันถึงสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว แต่มีข้อพิรุธให้จับได้หลายข้อ
ได้นำเอาหลักฐานที่เกี่ยวกับสำนักพระพุทธศาสนา (พ.ศ.) ทำหนังสือถึงประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อนำซีดีที่บันทึกเทปคำอวยพรของสมเด็จพระสังฆราชเพื่ออวยพรปีใหม่แก่ประชาชน โดยมีการทำหนังสือขออนุญาตจากประธานคณะปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนายสนธิตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือการมีสถานะของสมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ แสดงให้เห็นว่าคำชี้แจงของนายวิษณุนั้นโกหก
ส่วนเรื่องพระบรมราชานุญาตในการใช้สถานที่ในพระอุโบสถวัดพระแก้ว เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในการทำบุญประเทศนั้น นายสนธิได้ชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธในจดหมายจากสำนักเลขาธิการสำนักมหาเถรสมาคม สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฉบับวันที่ 8 เมษายน 2548 ลงนามโดยนางจุฬารัตน์ บุญยากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ขอใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในเวลา 15.00-16.00 น.โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นองค์กรอิสระเข้าร่วมพิธี ไม่ได้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
พร้อมกันนี้ นายสนธิได้เปรียบเทียบกับจดหมายอีกฉบับ คือ ฉบับวันที่ 30 มีนาคม ก่อนหนังสือฉบับวันที่ 8 เมษายน ที่ทำหนังสือถึงเลขาธิการสำนักพระราชวังขอใช้สถานที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลา 15.00-16.00 น. แต่ฉบับนี้มีนายกฯ แต่ไม่มีองคมนตรี แต่เมื่อไม่มีคำตอบกลับมาจึงได้ร่างหนังสือฉบับวันที่ 8 เมษายน 2548 ดังกล่าว โดยเพิ่มองคมนตรีเข้าไป ซึ่งถ้ามีองคมนตรีก็แสดงให้เห็นว่าคนที่มาเป็นประธานต้องสูงกว่าองคมนตรีมาเป็นประธานในพิธี
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ก็ทำให้คนไทยเกิดตั้งคำถามว่า นายทักษิณ รู้สึกอย่างไรต่อสถาบัน และการแก้มาตรา 112 ของเพื่อไทย ทำเพื่อประชาชน หรือทำเพื่อใครบางคนกันแน่???