สุชาติ พ้อ เป็นเสียงข้างน้อยในพปชร.! ขณะสมศักดิ์ บอก “ธรรมนัส” ยังนั่งเลขาฯ โดยส่วนตัวพูดไม่ได้!
จากกรณีที่วันนี้ (28 ตุลาคม 2564) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (กก.บห.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะยกเลิกการประชุม กก.บห. เพราะได้พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ว่า ขณะนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะมีการประชุม กก บห. และตนเองก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ
เมื่อถามว่า จะยังไม่มีการปรับโครงสร้างพรรคพปชร. ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องอยู่ที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. เป็นหลัก ตนคงพูดไม่ได้ เพราะเป็นกก.บห. แค่เสียงเดียว และหากได้รับเชิญเข้าประชุมก็ต้องไปในนาม กก.บห. เพื่อพูดคุยหารือกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามว่า มีกก.บห. ที่เป็นรัฐมนตรีบางส่วนยอมรับว่าได้เซ็นใบลาออกแล้ว จะมีผลอย่างไร นายสุชาติกล่าวว่า ครั้งแรกที่มีการคุยกัน หากมีแนวทางที่ทำให้อะไรดีขึ้น เราก็ยอมรับว่าเราเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่น เราคุยกันว่าตัวเราเองจะต้องยอมรับว่า ถ้าบริหารพรรคไปในแนวทางที่ไม่ตรงกัน เราจะไปขวางเขาได้อย่างไร เพราะเราเป็นเสียงข้างน้อย เราก็ต้องพิจารณาตัวเองในตรงนั้น แต่ถ้าเสียงสะท้อนที่เราให้เหตุผลไป มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง และมีประโยชน์ต่อพรรค พปชร. ที่จะเป็นสถาบันทางการเมือง ก็ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของกก.บห. อย่างดีที่สุดแล้ว แต่ทั้งนี้ ทุกคนเคารพการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค พปชร. เพราะอย่างที่ตนย้ำมาตลอดว่า หัวหน้าพรรค คือศูนย์รวมจิตใจ ของพวกเราทุกคน และส.ส. 100 กว่าคน และพรรค พปชร. ก็เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ตั้งขึ้นมาใหม่แล้วมี ส.ส. 100 กว่าคนซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ยากมาก
เมื่อถามว่า ต่อไปจะทำงานในพรรคร่วมกันได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคใหญ่ๆ ที่มีมาในอดีต ก็ปรับเปลี่ยนเหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ มีการปรับกก.บห.ใหม่มาโดยตลอด ถือเป็นการปรับสมดุลทางการเมือง และเป็นการปรับสมดุลของสถานการณ์บ้านเมือง ถือเป็นเรื่องปกติ วันนี้เราอาจเป็นคนที่ดีเหมาะสมกับสถานการณ์ แต่วันหน้า ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วไม่ใช่เรา มันก็เป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เมื่อ 6 รัฐมนตรีขับเคลื่อนให้มีการปรับโครงสร้างพรรค และหากปรับไม่สำเร็จจะอยู่กันอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า แนวคิดแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ส่วนตนก็คิดว่าเป็นหนึ่งในเสียงของ กก.บห. แต่ถ้าเราเป็นแล้ว ไม่สามารถพูดได้ หรือเสนอแนวคิดได้ เราก็ไม่ควรที่จะเป็น แต่ถ้าเสนอแนวคิดแล้วไม่ถูกหยิบมาปรับสมดุล หรืออาจคิดไม่ตรงกับเสียงข้างมาก หากอยู่แล้วไม่สบายใจ หรือไปขวางความคิดของคนอื่น เราก็ต้องไปพิจารณาตัวเอง แต่การเสนอแนวคิดนั้นไม่ได้เสนอเพื่อตัวเอง แต่เป็นการเสนอเพื่อต้องการให้พรรคเติบโต และเป็นสถาบันทางการเมืองที่แข็งแรง ทำให้หัวหน้าพรรคมีความสง่างาม ทำเพื่อปรับสมดุลให้สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ อย่างพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งก็มีการประชุมเพื่อปรับสมดุล เราเองก็เป็นพรรคใหญ่พอๆ กัน ก็ต้องมีการปรับสมดุลเพื่อสู้กัน ซึ่งในทางการเมืองผลลัพธ์คือประชาชน ทำทุกอย่างให้ประชาชนเชื่อมั่น ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ เราก็ต้องทำ
เมื่อถามว่า หาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร. ยังอยู่ในตำแหน่ง 6 รัฐมนตรีจะทำงานร่วมกับพรรค พปชร. ได้ต่อไปหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า แน่นอน เพราะต้องแยกกันคนละประเด็น ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของกก.บห. อีกส่วนหนึ่งทำงานเพื่อรับใช้ประเทศชาติบ้านเมือง เป็นคนละอย่างกัน และสถานการณ์การเลือกตั้งก็เหลือเวลาอีกปีกว่า ยังไม่ใช่วันนี้ แต่ถ้าเราปรับสมดุลให้เกิดความเข้มแข็งของพรรคการเมือง ให้พรรคแข็งแรงมากขึ้น ถ้าทำได้เร็วขึ้นก็คงจะดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องทำงานต่อไป เพราะเราทำงาน 2 ขา
เมื่อถามว่า หากครั้งนี้จบแล้ว ในอนาคตสถานการณ์ลักษณะเดียวกันยังจะเกิดขึ้นอีกภายในพรรค พปชร. หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า พรรค พปชร. เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ทุกคนยึดหลักที่หัวหน้าพรรค ไม่เหมือนพรรคอื่นที่มีสาขา มีหัวหน้าภาค ดังนั้นพรรค พปชร. ก็ต้องค่อยๆ ปรับสมดุล เพื่อให้เกิดความพร้อม เพราะตอนนี้การเมือง จาก 4 ปีเราผ่านมา 2 ปีแล้ว เหมือนอยู่บนยอดดอย แล้วค่อยๆ เดินลงดอย ก็อยู่ที่ความพร้อม ที่เราจะต้องเตรียมตัวเท่านั้นเอง
ในขณะที่ทางด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กรณี รัฐมนตรี และส.ส.พปชร.เข้าไปพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพปชร.ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ เมื่อวานนี้นั้น มีกระแสข่าวว่ามีการพูดคุยกันอย่างดุเดือด ว่า ตนไม่ได้อยู่ในที่ประชุม เพราะตนไปทำธุระที่อื่น จึงไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย
เมื่อถามว่า จะส่งผลต่อการเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ เพราะจะเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 1 พ.ย.นี้แล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่ถ้านานไปกว่านี้ จะมีผลกระทบ
ถามต่อว่า วันนี้จะยังมีการประชุมพรรคหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่แน่ใจ เนื่องจากเดิมมีการกำหนดไว้ในเวลา 13.30 น. แต่ตนได้ข่าวว่าเมื่อวานมีการพูดคุยกันไปบ้างแล้ว จึงยังไม่ทราบว่าจะยังมีการประชุมในวันนี้หรือไม่ จนขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน คงต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง
ถามต่อว่า สถานการณ์ในพรรคขณะนี้ จะทำอย่างไรให้กลับมาเดินหน้าทำงานต่อ เนื่องจากพรรคอื่นๆเตรียมพร้อมวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จะตอบสั้นๆง่ายๆไม่ได้ ต้องใช้เวลาในการพูดคุยแก้ปัญหา และการเตรียมความพร้อมของแต่ละพรรคเรื่องการวางตัวผู้สมัคร ก็ถือเป็นเรื่องปกติในช่วงปีที่สามที่สี่ ไม่มีอะไรแปลก
เมื่อถามว่า มองว่าปัญหาความขัดแย้งภายพรรคจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีสูตรสำเร็จว่ากันไปตามสถานการณ์
เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ เห็นด้วยหรือไม่ ที่ร.อ.ธรรมนัส จะยังเป็นเลขาธิการพปชร.ต่อ นานสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่ขอพูดอะไร มองว่า ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นที่เป็นส่วนตัวได้
เมื่อถามว่า กระแสข่าวที่นายกฯเรียก 6 รัฐมนตรีไปพูดคุยเพื่อให้มีการปรับโครงสร้างพรรค ถ้าหากทำไม่สำเร็จ 6 รัฐมนตรี จะอยู่อย่างไร นายสมศักดิ์ หัวเราะพร้อมระบุว่า “ไม่ทราบ”
อย่างไรก็ตาม จากที่มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยการหารือระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค กับแกนนำ และส.ส. ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในช่วงเย็นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 นั้น
ทั้งนี้ รายงานข่าวเปิดเผยช่วงหนึ่งระหว่างการประชุมว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค ได้ชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ให้สมาชิกฟังลักษณะว่ามีการทำความเข้าใจกันแล้ว โดยนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ได้กล่าวเสริมว่า เขาเคลียร์กันจบแล้ว
นอกจากนี้ ร.อ.ธรรมนัส ยังระบายความในใจถึงคนที่เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมว่า ขัดแย้งกันเพราะอะไร นอกจากนี้ ยังหยิบยกว่า ที่ผ่านมาตนเองเคยช่วยเหลืออะไรกับ ส.ส.คนไหนบ้าง สนับสนุนผลักดันให้บางคนได้เป็นรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคบ้าง ตลอดจนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ผ่านมา ซึ่งชนะทุกที่ ซึ่งมาจากการสนับสนุนของตนเอง พล.อ.ประวิตร และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง