อิทธิฤทธิ์ใคร!? เปิดเส้นทางไม่ธรรมดา “บิ๊กโจ๊ก” บารมีพุ่ง ยืนหนึ่ง เก้าอี้ผบ.ตร.!!

2809

หลังจากที่ประสบมรสุมบนเส้นทางสีกากีมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ บิ๊กโจ๊ก หวานเจี๊ยบ หวนคืนบ้านเก่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่จับตามอง ของวงการสีกากีและประชาชน เพราะเจ้าตัวก็มีผลงานโดดเด่นไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้จึงน่าติดตามว่าเหตุอะไร ทำไมเขาถึงได้กลับมาผงาดอีกครั้ง

จากกรณีที่ เมื่อ วันที่ 9 มีนาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้ารับราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้สำหรับที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์นั้นก็ได้มีผลงานมากมายในการเดินหน้าจับกุมผู้กระทำความผิดคดีต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว เนื่องจากได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานหลายชุดด้วยกัน ซึ่งตำแหน่งที่สร้างบทบาทให้เขาเป็นอย่างมากคือ รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาช

โดยกลางปี 2561 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เริ่มต้นจากการร่วมทีมจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงิน โดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พร้อมนำกำลังจับกุมผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและปลอมเอกสารสิทธิ

หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการให้แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ และจัดตั้งชุดเฉพาะกิจศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน พร้อมเปิดตัวด้วยการเป็นประธานมอบโฉนดที่ดินให้กับประชาชน จ.ขอนแก่น จำนวน 135 คน โฉนด 140 ฉบับ ยอดรวมเนื้อที่ 285 ไร่ 1 งาน 64 ตารางวา รวมประมาณ 120,067,995 บาท และชู “ขอนแก่นโมเดล” ให้ทุกพื้นที่ทั่วไทยเร่งปราบนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยโหด

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของประชาชน ทั้งจากการถูกเอารัดเอาเปรียบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง ถูกฉ้อกลและฟ้องร้องโดยนายทุนที่ยึดโฉนดที่ดินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สามารถมอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชน รวมทั้งสิ้น 780 ฉบับ

ทั้งจังหวัดอุดรธานี 346 ฉบับ กาฬสินธุ์ 5 ฉบับ ขอนแก่น 43 ฉบับ นครพนม 151 ฉบับ บึงกาฬ 11 ฉบับ มหาสารคาม 5 ฉบับ มุกดาหาร 3 ฉบับ ร้อยเอ็ด 40 ฉบับ เลย 7 ฉบับ สกลนคร 15 ฉบับ หนองคาย 65 ฉบับ และหนองบัวลำภู 89 ฉบับ มีเนื้อที่รวมทั้งหมด 3,700 ไร่ 23 งาน 521 ตารางวา คิดเป็นมูลค่า 1,825,572,144 บาท

การเดินหน้าแก้ปัญหา “หนี้นอกระบบ” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปราบนายทุนดอกเบี้ยโหดในภาคอีสาน นับว่าเป็นผลงานชิ้น “โบว์แดง” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร

โพลเผย คน 76.99 ไม่เชื่อข่าวลอบฆ่านายกฯ ชี้แค่สร้างกระแส

ส่งผลให้รองนายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมีหน้าที่ช่วยปฏิบัติงานโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยเน้นช่วยภาระงานด้านกฎหมาย และมาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น เรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ที่มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายหน่วยงาน

จนกระทั่ง พล.อ.ประวิตร พิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.)

ทั้งนี้ ระยะเวลาเพียง 3 เดือน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ สามารถทวงคืนโฉนดที่ดินจากนายทุนดอกเบี้ยโหดทั่วประเทศให้ประชาชน 5,530 ฉบับ เนื้อที่ 18,770 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 7,300 ล้านบาท

นอกจากนี้ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (รอง ผอ.ศปอส.ตร.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังแก้ไขปัญหาความผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งโรแมนซ์สแกม การฉ้อโกงผ่านช่องทางออนไลน์ ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ รวมถึงการปราบปรามสื่อลามกอนาจาร ที่ได้ปิดกั้นเว็บไซต์ไป 1,151 เว็บ พร้อมปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันและความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท

ทำให้ พล.อ.ประวิตร ออกปากชมว่า เป็นการล้มระบบการก่อเหตุอาชญากรรม ทำให้การฉ้อโกงเกือบสูญสิ้นไป แม้ว่าเป็นการขับเคลื่อนในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยยอมรับว่าประสบความสำเร็จกว่าร้อยละ 90 จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดตามการก่อเหตุอาชญากรรมซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ

นอกจากนายทุนดอกเบี้ยโหดในไทยแล้ว พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังทลายขบวนการปล่อยเงินกู้และทวงหนี้นอกระบบข้ามชาติในพื้นที่จังหวัดชลบุรี หลังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี ตรวจพบ กลุ่มคนจีน ใช้วีซ่านักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย ก่อนเช่าบ้าน 2 หลัง เพื่อใช้เป็นฐานกระทำผิดปล่อยเงินกู้ให้กับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เก็บดอกเบี้ยร้อยละ 40 ต่อสัปดาห์ หรือร้อยละ 60 ต่อเดือน มีผู้เสียหายแล้วกว่า 1,000 คน ในประเทศจีน มูลค่าหนี้คิดเป็นเงินไทยประมาณ 12 ล้านบาท

หลังจากเลื่อนยศเป็น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็เดินหน้าปราบนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบต่อทันทีที่ จ.สงขลา และตรวจค้นกลุ่มนายทุน 30 กลุ่ม ในพื้นที่ 6 จังหวัด ใกล้เคียงประกอบไปด้วย ตรัง พัทลุง สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จนยึดโฉนดที่ดินได้ 1,200 ฉบับ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

ต่อด้วยการปราบนายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และขอนแก่น โดย พล.ต.ท.สุเชษฐ์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 7 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

พร้อมอายัดทรัพย์สินผู้ต้องหา มูลค่า 130 ล้านบาท และตรวจยึดโฉนดที่ดิน 774 ฉบับ เนื้อที่รวม 1,506 ไร่ 2 งาน 87 ตารางวา รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดและอายัดในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,634.5 ล้านบาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำทีมเดินหน้าปิดล้อมตรวจค้นยึดและอายัดทรัพย์สินของกลุ่มนายทุนปล่อยกู้นอกระบบ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และอุดรธานี รวม 55 เครือข่าย 82 จุด

โดยอายัดทรัพย์สินผู้ต้องหา รวมมูลค่า 754.9 ล้านบาท และตรวจยึดโฉนดที่ดิน จำนวน 197 ฉบับ เนื้อที่ 220 ไร่ มูลค่า 218 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 972.9 ล้านบาท

ตั้งแต่เดือน ก.ค.2561 จนถึงเดือน มี.ค.2562 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ดำเนินการทวงคืนที่ดินจากนายทุนปล่อยกู้นอกระบบทั่วประเทศกว่า 1,662 ราย รวมโฉนด 1,568 ฉบับ เนื้อที่ 2,888 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวา คิดเป็นมูลค่า 1,701,045,163 บาท

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้มอบโฉนดที่ดินคืนแก่ประชาชนทั่วประเทศแล้ว 22,082 คน เป็นโฉนด 18,558 ฉบับ เนื้อที่ 52,000 ไร่ 3 งาน 68.3 ตารางวา คิดเป็นมูลค่า 24,568,046,936 บาท

แต่เส้นทางสีกากีก็ถูกสกัด เนื่องจากมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย และถูกโอนเป็นข้าราชการพลเรือน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี 2562

บิ๊กโจ๊ก” เห็นคาตาสัญญาเงินกู้นายทุนโหดโกงชาวบ้าน ลุยยึดทรัพย์กว่า 180  ล้านบาท

จนกระทั่ง ล่าสุด วันที่ 9 มีนาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับเข้ารับราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท. สุรเชษฐหรือ โจ๊ก หวานเจี๊ยบ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่47 จัดเป็นนายพลที่หนุ่มที่สุด โดยช่วงที่ได้รับตำแหน่งนายพลนั้น พล.ต.ท. สุรเชษฐมีอายุแค่เพียง42ปี และยังว่ากันว่าเป็นนายพลตำรวจคนแรกที่มีอายุราชการน้อยที่สุดอีกด้วย

แถมยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ดว่าพล.ต.ท. สุรเชษฐ สามารถก้าวข้ามกฎกติกาว่าด้วยการขึ้นเป็นนายพลตำรวจได้อีกต่างหาก ทั้งๆที่พล.ต.ท. สุรเชษฐมีตำแหน่งเป็นรองผบก.เพียง2ปี และไม่เคยผ่านรร.หลักสูตรผู้บังคับการ

แต่สามารถก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นนายพลได้ทั้งๆที่ตามระเบียบระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่จะเป็นนายพลตำรวจได้นั้นจะต้องมีตำแหน่งเป็นรองผบก.อย่างน้อย4ปี และต้องผ่านรร.หลักสูตรผู้บังคับการ แต่พล.ต.ท. สุรเชษฐ สามารถฝ่าด่านเหล่านี้มาได้ เรียกว่า เป็นนายตำรวจที่ไม่ธรรมดา

และสำหรับประวัติตั้งแต่วัยเด็กของพล.ต.ท. สุรเชษฐ อาศัยอยู่ในบ้านของพล.ต.อ เสมอ ดามาพงศ์ พ่อตาของนาย ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่มีข่าวเสมอมาว่าพล.ต.ท. สุรเชษฐเป็นนายตำรวจสายคุณหญิง พจมาน ดามาพงษ์แต่เมื่อหมดยุคตระกูล ชินวัตรแล้ว มาถึงวันนี้ พล.ต.ท. สุรเชษฐก็กลายมาเป็นนายตำรวจที่มีความสนิทสนมกับพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม

ดังนั้นเองที่น่าจับตากันต่อไปว่า เส้นทางของบิ๊กโจ๊ก จะก้าวไปยืนหนึ่งในตำแหน่ง ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นั่นเพราะยังมีอายุราชการอีกหลายปีที่เพียงพอต่อนายตำรวจผู้นี้