“ส.ส.โรม” ปั้นคำ “ตั๋วช้าง” แหกตาสาวก จงใจขายความเท็จพาดพิงสถาบัน!?

4807

จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายนอกสภาต่อที่ห้องพรรคก้าวไกล ชั้น 6 อาคารรัฐสภา โดยอภิปรายเน้นย้ำถึงประเด็นเรื่องตั๋วตำรวจ

โดยเพจเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกลได้เผยแพร่วิดิโอไลฟ์ พร้อมระบุข้อความว่า
“เมื่อโดนห้ามอภิปรายในสภา ไม่ได้พูดเนื้อหากว่าครึ่งที่เตรียมมา ส.ส.รังสิมันตโรมจึงตัดสินใจว่ามีความจำเป็นต้องไลฟ์เนื้อหาต่อ รวมถึงเปิดเอกสารต่างๆ #ตั๋วช้าง คืออะไร? ติดตามกันได้เลย!#อภิปรายไม่ไว้วางใจ64 #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #ประชุมสภา #ก้าวไกล”

โดยในวิดีโอไลฟ์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า “บัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจกว่าพันนายก็มีตั๋ว (จดหมายฝากตำแหน่ง) ของ ผบ.ตร.ซึ่งไม่ทราบว่า นายกฯ และพล.อ.ประวิตรเคยทราบหรือไม่ ระแคะระคายหรือไม่ว่าผบ.ตร.ก็มีตั๋ว ซึ่งมีหลักฐานเอกสารตารางรายชื่อก็จะเห็นข้อความที่เขียนกำกับว่าสร.1 คือรหัสวิทยุที่หมายถึงนายกฯ ก็เช่นเดียวกับของผบ.ตร. ที่ขอสนับสนุนแต่งตั้งตำรวจ มีนับร้อยคนกระจายตามหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศและได้รับแต่งตั้งถ้วนหน้า และในเอกสารดังกล่าวยังมีข้อความน่าสนใจด้วยว่ามีพันตำรวจโทคนหนึ่งตำแหน่งรองผู้กำกับการจะขอย้ายสังกัดแต่มีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือข้อความว่า นายป้อมให้เข้าฝอ. เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าสุดท้ายพันตำรวจโทคนนี้ได้ย้ายจริงแต่ไม่ใช่ตามที่ขอแต่เป็นไปตามที่นายป้อมให้ คือไปเป็นรองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการที่ภูธร ภาค 1 ซึ่งลายมือดังกล่าวไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียนและไม่รู้ว่านายป้อมคือป้อมไหน

นอกจากตั๋วที่ได้กล่าวๆ มาแล้วก็ยังมีอีกตั๋วหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2562 มีการเขียนขอสนับสนุนแต่งตั้งนายตำรวจ 20 นายเพื่อให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เมื่อดูรายชื่อพบว่า เป็นนายตำรวจจากหลายสังกัดและนามสกุลซึ่งเป็นที่รู้จักและพบว่าในเวลาต่อมานายตำรวจเหล่านี้ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ชอบๆ กันถ้วนหน้า และในปีต่อๆ มาหลายคนก็ได้เลื่อนขั้นมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ดังนั้นไม่แน่ว่านี่อาจจะไม่ใช่ตั๋วที่ใช้ครั้งเดียวจบแต่อาจจะใช้ไปได้ยาวๆ ตลอดชีวิตราชการ เพราะหลายคนแม้ว่าดำรงตำแหน่งไม่ครบตามหลักเกณฑ์ก็ได้รับการยกเว้นให้เพื่อได้เลื่อนขั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตั๋วเหล่านี้นอกจากช่วยให้เลื่อนขั้นได้เร็วยังช่วยลบความผิดพลาด ล้างมลทินในอดีตให้เลือนหายไป จนสามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้

สำหรับจดหมายฝากตำแหน่ง ที่ดีที่สุดและไม่เคยได้รับการปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร ตั๋วดังกล่าวคือ “ตั๋วช้าง” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงการตำรวจ โดยตนมีเอกสารหลักฐานดังกล่าวซึ่งเห็นแล้วชวนขนลุก เนื่องจาก มีการอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ข้าราชการตำรวจที่มีความ จงรักภักดี ซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร ในการปฎิบัติหน้าที่ และท้ายหนังสือลงลายมือชื่อกำกับโดย คนหนึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้ชายซึ่งขอไม่เอ่ยนาม ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. ปล่อยให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถือเป็นความผิดมากพอที่จะทำให้ไม่คู่ควรกับการดำรงตำแหน่งในรัฐบาลต่อไป

จึงขอถามตรงๆ ว่าพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร กล้าดีอย่างไร ที่ให้ผบ.ตร. ไปติดต่อกับคนของส่วนราชการอื่นที่ไม่มีธุระกับงานตำรวจ และยังดึงสถาบันเข้ามามีส่วนเกี่ยวกับการโยกย้ายนายตำรวจ ไม่เชื่อว่านายก กับพลเอกประวิตร จะไม่รู้เรื่องว่ามีเรื่องเหล่านี้ วนเวียนอยู่ในวงการตำรวจ ดังนั้นคำถามคือ เป็นใบ้ หรืออย่างไรจึงปล่อยให้มีเอกสารดังกล่าว แล้วยังไม่ดำเนินการกับกลุ่มคนที่ทำหนังสือฉบับนี้และนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว นำไปแอบอ้าง แต่กลับให้ลอยนวลอยู่ได้

การมีอยู่ของเอกสารดังกล่าว และการมีอยู่ของตั๋วช้าง ทำให้เกิดความสมยอมในการกระทำผิด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร ที่ได้ข้อมูลมาซึ่งตั๋วเหล่านี้มีมูลค่าหลักล้าน หลายล้าน ก็เท่ากับว่าสุดท้ายตำรวจก็ต้องลงเอยด้วยการเก็บกินจากบ่อน จากธุรกิจผิดกฎหมาย จากการค้ามนุษย์

สุดท้ายทำให้เห็นว่าการเข้ามาทำงานของพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ปล่อยประละเลยสร้างปัญหาให้ประเทศและประชาชน ทำซะเหมือนตำรวจเป็นของเล่นไม่มีหัวใจ ปล่อยให้ตำรวจที่มีเส้นสายเจริญเติบโต ยกเว้นหลักเกณฑ์ให้โดยอำนาจ ไปจนถึงให้คนนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เข้ามาแทรกแซง เพื่อพวกพ้อง ดังนั้นจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร สุดท้ายตำรวจนับแสนคนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของระบบที่เลวร้าย โดยที่นายกปล่อยให้ระบบเหล่านี้มีอยู่ต่อไป ดังนั้นจะรับผิดชอบอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้วงการตำรวจ ถูกบงการโดยอำนาจนอกระบบ แต่ถ้านายกบอกว่าไม่รู้เรื่องเลยแสดงว่าไม่มีน้ำยา ดังนั้นจึงขอไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป”

อย่างไรก็ตามล่าสุด นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กต่อกรณี “ตั๋วช้าง” โดยระบุว่า
“ตั๋วช้าง???
คือวาทะกรรมโกหกลวงโลกว่า เป็นเรื่องฝากตำรวจ ให้มีตำแหน่งใหญ่โต!!! ความจริงเป็นเรื่องผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือกราบบังคมทูล ผ่านราชเลขาธิการ ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตแต่งตั้ง นายตำรวจ 12 คน ตามปกติก็แค่นั้นเอง
เหตุที่ต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก็เพราะเป็นหน่วยงานตำรวจสำคัญเกี่ยวข้องกับราชสำนัก
พอมาแหกตาเรียกเป็นตั๋วช้างก็ทำให้เกิดความสนใจ ซึ่งเป็นอุบายในการขายความเท็จชนิดหนึ่ง”

นอกจากนี้ได้มีประชาชนแสดงความเห็นและตั้งคำถามถึงกรณีดังกล่าว โดยนายไพศาลก็ได้ชี้แจงดังนี้
“อาจารย์ต้องให้ลุงๆที่อาจารย์ปกป้องอยู่หักล้างด้วยหลักฐานสิครับ
อย่าใช้วิธีตอบไม่ตรงคำถาม ประท้วงสะเปะสะปะ หรือเดินออกจากห้องประชุม
เชื่อว่าประชาชนผู้รักสถาบันคงอยากได้ความจริงจากรัฐบาลบ้าง
ไม่ใช่ตัดบทแบบนี้”
นายไพศาลได้ตอบว่า
“ผมไม่ได้ปกป้องใคร ปกป้อง ปชช ไม่ให้ใครจูงจมูก”

อีกรายได้ถามว่า “ถ้าไม่จริงมีหลักฐานอะไรมายืนยัง”
นายไพศาลได้ตอบกลับว่า
“อ่านเอกสารสิจะรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร”

ขณะที่อีกรายได้แสดงความคิดเห็นระบุว่า
“ผมกลับคิดเห็นต่างจากอาจารย์นะครับเรื่องตั๋วช้างเนื่องจากส.ส. โรม สามารถแฉ #ตั๋วช้าง จนวงการตำรวจเละแล้ว ยังเปิดเอกสาร (ลายเซ็นต์… ชัดเจน) ที่ผูกโยงได้อีกว่า สถาบันกษัตริย์ยุ่งเกี่ยวและอยู่เบื้องหลังกิจการทางการเมืองทุกอย่างจริงๆ
#คำพูดที่ว่าปกเกล้าแต่ไม่ปกครองแสดงว่ามันไม่จริงนะครับ”
นายไพศาลได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า
“เป็นเอกสารที่ สตช กราบทูลขอพระราชทานอนุญาต เพราะเป็นตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก ตรงกันข้ามกับที่บอกว่าเป็นตัวช้าง”

นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นระบุว่า
“ทำไมกรณีคนอื่นไม่มีหนังสือแบบนี้ นี้แค้ระดับ ผกก ขึ้น รอง ผู้การต้องมีหนังสือเลยหรือครับ
ขนาด แต่งตั้ง ผบ.ตร ยังแค่ นายกนำทูลเกล้าเพื่อโปรดเกล้าเเล้วรอ ประกาศราชกิจ แค่นั้นเอง”

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของสำนักข่าว The truth พบว่า การขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตแต่งตั้งตำรวจที่นายรังสิมันต์กล่าวอ้างนั้น แท้จริงแล้วคือการแต่งตั้ง “ตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904” ซึ่งเป็นหน่วยงานตำรวจสำคัญเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ทำให้จำเป็นที่จะต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต

โดยวันที่ 14 ก.ค. 63 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล (www.thaigov.go.th) เผยแพร่ มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ประจำวันอังคารวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 โดยมีวาระสำคัญ เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ระบุว่า
เปลี่ยนชื่อส่วนราชการระดับกองบังคับการ “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904” ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็น “กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ” และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว เช่น ต่อต้านการก่อการร้าย สนับสนุนการป้องกันและปราบปราม การระงับเหตุฉุกเฉิน ปราบปรามการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรมทั่วราชอาณาจักร และรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันปราบปรามการก่อจลาจล การควบคุมฝูงชน ที่มีผลกระทบต่อการถวายความปลอดภัยรอบเขตพระราช
ทั้งนี้ ตช. เสนอว่า กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นใน ตช. พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดให้กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 เป็นส่วนราชการระดับกองบังคับการ โดยมีส่วนราชการในสังกัด ดังนี้

1) ส่วนราชการระดับกองบังคับการ ได้แก่ กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 2) ส่วนราชการระดับกองกำกับการ ได้แก่ (1) ฝ่ายอำนวยการ (2) – (7) กองกำกับการ 1 – 6 (8) กองกำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ (9) กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ และ (10) กองกำกับการสายตรวจ

โดยที่ภารกิจการถวายความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้แทนพระองค์ซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และบุคคลที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นพระราชอาคันตุกะเป็นภารกิจที่สำคัญสูงสุดของ ตช. ซึ่งกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 มีอำนาจหน้าที่ด้านการถวายความปลอดภัยดังกล่าว และได้รับมอบหมายการปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกด้านยุทธวิธีเฉพาะทาง เพื่อฝึกข้าราชการตำรวจที่มีทัศนคติที่ดีต่อสถาบัน สำหรับเตรียมความพร้อมในการถวายงาน แต่เนื่องจากชื่อหน่วยงานและอำนาจหน้าที่ปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัย ถวายอารักขา ถวายพระเกียรติ การปฏิบัติภารกิจทั้งปวงเป็นไปตามพระราชประสงค์และตามราชประเพณี ตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์และเกิดความปลอดภัยสูงสุด จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และเห็นควรเปลี่ยนชื่อส่วนราชการะดับกองบังคับการ จากเดิม “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904” เป็น “กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ” และเปลี่ยนชื่อส่วนราชการระดับกองกำกับการ จากเดิม “กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ” ในกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็น “กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย” ในกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง