จับตา!! นทท.แห่เข้าไทยต้นส.ค.ขณะจีนจะมาทัวร์สุขภาพ!?! คนไทยหวั่นนำเข้าเชื้อโควิดระลอก2

1841

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปี 2563 เป็นปีแห่งความท้าทายของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจขยายตัว 2.0%-3.0% หรือมีจำนวนที่ 40.5-40.9 ล้านคน แต่ปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ความวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัย กลายเป็นประเด็นหลักสำหรับสังคมไทย มากกว่าเม็ดเงินที่คาดจะได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ชณะที่รัฐบาลได้เตรียมการเปิดเฟส 6 ที่จะเปิดทำการธุรกิจมากขึ้น เปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น กระแสข่าวกรุ๊ป่ทัวร์จีนเพื่อสุขภาพ กลับไปตอกย้ำความกังวลของคนไทยที่พบว่า  อันตรายของโควิด-19 มักมาพร้อมกับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โจทย์ครั้งนี้จึงไม่ง่าย

การที่ไทยยังคงเป็นประเทศที่ชาวจีนเลือกเป็นจุดหมายในการเดินทางท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ อีกทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคปอดอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ การที่นักท่องเที่ยวจีนจะปรับแผนการเดินทางมาท่องเที่ยวระยะใกล้แทนการไปเที่ยวในภูมิภาคอื่นๆที่ไกลออกไป ซึ่งยังมีประเด็นความไม่สงบ ก็คาดว่าจะสนับสนุนให้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะมีประมาณ 11.10-11.30 ล้านคน หรือเติบโตประมาณ 1.6%-3.5%​

ขณะที่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี2563คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 550,000–560,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 1.1%-2.8% จากปี 2562 ซึ่งหากพิจารณาหมวดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยที่ยังขยายตัว จะเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เป็นผลจากการที่หน่วยงานภาครัฐมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ทั้ง Street Food และอาหารท้องถิ่น ตลอดจนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่จะมีการค้นหาร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง  ซึ่งทำได้สะดวกขึ้นผ่านสมาร์ทโฟน สำหรับการใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พักจะมีมูลค่าลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมและที่พัก ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีทางเลือกมากขึ้นในการเปรียบเทียบคุณภาพและราคา

สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ขณะนี้มีชาวต่างชาติราว 1,200 คนจาก 34 สัญชาติ ซึ่งรวมถึงชาวจีนกว่า 300 คน เตรียมเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์ ตามมาตรการผ่อนคลายเฟส 6 ของรัฐบาลไทย

เมื่อไม่นานนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่า จะอนุญาตให้ 4 กลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ต้องการรักษาพยาบาลและศัลยกรรม เข้าประเทศได้ภายใต้มาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด คาดว่าโครงการทัวร์สุขภาพในไทยจะเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้งภายในเดือนนี้

สื่อต่างประเทศ ระบุว่า ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าไทยตามโครงการทัวร์สุขภาพ ประกอบด้วย เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และจีน แต่นักเดินทางจีนซึ่งรวมถึงคู่สามีภรรยาที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของไทย

สื่อทางการจีน คาดว่า กลุ่มคู่รักชาวจีนที่มีบุตรยากจ่ายค่าทำ IVF รวม 8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยในจำนวนนี้ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นการใช้จ่ายในต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับชาวจีนที่ต้องการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือเลือกเพศของบุตรด้วยวิธีการ IVF ในต่างแดน เพราะมีค่าบริการที่ถูกกว่าโดยอยู่ระหว่าง 400,000-800,000 บาท และจำนวนโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองด้าน IVF ในจีนแผ่นดินใหญ่มี 460 แห่ง ไม่เพียงพอกับความต้องการที่ล้นหลาม

ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ค.2563  ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกทั้งสิ้น 85 แห่งที่ลงทะเบียนต้อนรับชาวต่างประเทศสำหรับโครงการทัวร์สุขภาพ

ในภาพรวม ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ยังคงมีความหวังว่า การท่องเที่ยวจะกลับมาช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้  ดูจากการรณรงค์เที่ยวในประเทศของคนไทย ได้รับการต้อนรับค่อนข้างดี และกระแสการจัดการด้านสาธารณสุขรับมือปัญหา การระบาดไวรัสโควิด-19 ของไทย เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก  แนวโน้มที่ต่างชาติสนใจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยจึงมุุ่งไปทางสุขภาพและความงาม ซึ่งในการนี้ยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการจากภาครัฐ  แต่กระแสลือเรื่องทัวร์จีนเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลไทยที่เคยแพร่สะพัด ในโซเชียลก็เริ่มกลับมาจับตามองกระแส การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง  หลังจากประสบการณ์ทางลบจากชาวต่างชาติเข้าไทย นำโรคภัยโควิด-19 เข้ามา  จึงยังไม่อาจสรุปได้ว่าแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวของภาครัฐ  จะได้รับการสนับสนุนจากคนไทยมากน้อยเพียงใด

………………………………………………..