จากกรณีที่สำนักข่าว The HILL ออกมารายงานเปิดเผยว่า พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ เข้าให้การชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการทหารสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งมีทีท่าว่าจะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อออกไปอีกหลายปี ในขณะที่การจับมือเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างจีน-รัสเซีย ก็ทำให้พล.อ.มาร์ก ต้องกล่าวยอมรับว่า 2 ชาตินี้มีศักยภาพมากพอที่สามารถเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลกได้
ผบ.สส.สหรัฐฯ ชี้แจงต่อคณะกมธ.การทหารสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “ผมคิดว่านี่เป็นความขัดแย้งที่จะยืดเยื้อ และผมคิดว่าจะต้องประเมินวัดผลกันหลายปี ผมไม่รู้ว่าความขัดแย้งนี้จะถึงสิบปีหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือยืดเยื้อหลายปีแน่นอน ซึ่งรัสเซียได้เริ่มทำสงคราม และผมคิดว่าองค์การ NATO สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจะช่วยเหลือยูเครนต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เพราะนี่เป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคยุโรป”
“การเปิดฉากบุกยูเครนโดยฝ่ายรัสเซีย ไม่ได้บ่อนทำลายเฉพาะสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสันติภาพและความมั่นคงของโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่และคนอเมริกันรุ่นหนึ่งต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้อง แล้วตอนนี้ เรากำลังเผชิญหน้ากับ 2 มหาอำนาจของโลก นั่นก็คือจีนและรัสเซีย ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีศักยภาพทางทหารที่สามารถเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบโลกได้”
ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่รัฐบาลยูเครนต่อไป โดยรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจัดส่งอาวุธสงครามชุดที่ 2 ไปให้กับกองทัพยูเครน เพื่อใช้ต่อสู้กับกองรัสเซีย
อย่างไรก็ตามมีรายงานจากทำเนียบขาวเปิดเผยด้วยว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐได้อนุมัติเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนมากกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากบุกยูเครนในปลายเดือนก.พ. และสหรัฐได้ให้เงินช่วยเหลือแก่ยูเครนรวม 2.4 พันล้านดอลลาร์แล้วนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจไบเดนเข้ารับตำแหน่ง ทำให้นักวิชาการทั้งไทยและต่างชาติมองว่า หากปมเดือดของทั้ง 2 ประเทศจบลงได้ สหรัฐก็จะไม่ใช่ประเทศที่กุมอำนาจไว้อีกต่อไป ขั้วอำนาจของโลกจะต้องเปลี่ยนแน่นอน
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Thailand Vision