ตะวันออกกลางเดือด!!อิหร่านยิงขีปนาวุธ ถล่มศูนย์ยุทธศาสตร์อิสราเอลในอิรัก หลังส่งมิซไซล์ 12 ลูกกงสุลมะกัน

1289

ท่ามกลางกระแสสงครามยูเครนที่ยังคุกรุ่น เกิดการโจมตีขึ้นในอิรัก โดยอิหร่านออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุยิงศูนย์ยุทธศาสตร์ของอิสราเอล และยิงขีปนาวุธ12 ลูกโจมตีใกล้สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเออร์บิล ทางภาคเหนือของอิรัก ทั้งมะกัน-อิรักเชื่อฝีมืออิหร่านหวังชำระแค้น ส่อการเจรจาปลดนุกส์ของอิหร่านอาจไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งสหรัฐหวังว่าถ้าสำเร็จจะสามารถซื้อน้ำมันจากอิหร่านมาทดแทนที่คว่ำบาตรจากรัสเซียได้

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13มี.ค2565 สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานการโจมตีเป้าหมายของอิหร่านที่ศูนย์ยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งของอิสราเอลในอิรัก และเตือนว่าอาจลงมือโจมตีอีก

อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่เคิร์ดยืนยันว่ารัฐยิวไม่มีที่ตั้งทั้งในหรือใกล้ๆเมืองเออร์บิล เมืองเอกของเขตกึ่งปกครองตนเองทางภาคเหนือของอิรัก ส่วนในแบกแดด กระทรวงการต่างประเทศอิรัก ประณามการโจมตีดังกล่าวว่า “ละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิรักอย่างโจ่งแจ้ง”

อิรักเรียกเอกอัครราชทูตอิหร่านเข้าพบ เพื่อประท้วงเหตุโจมตดังกล่าว ซึ่งก่อความสูญเสียทางวัตถุ และสร้างความเสียหายแก่สถานประกอบการพลเรือนและบ้านเรือนประชาชน

เจ้าหน้าที่ในทางภาคเหนือของอิรัก ระบุว่าขีปนาวุธแบบทิ้งตัว 12 ลูก ตกใส่เมืองเออร์บิล ราวกับห่าฝน ในการโจมตีช่วงรุ่งสาง ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนยิงจรวดเหล่านั้น โดยบอกว่าการโจมตีเล็งเป้าหมายไปยังที่ตั้งต่างๆที่ใช้งานโดยอิสราเอล พันธมิตรลำดับต้นๆของสหรัฐฯ

ถ้อยแถลงของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่านระบุว่า “ศูนย์ยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งสำหรับการสมคบคิดและประสงค์ร้ายของพวกไซออนิสต์ เป็นเป้าหมายของขีปนาวุธที่ทรงพลังและแม่นยำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน”

ยังไม่มีปฏิกิริยามาจากอิสราเอล ส่วน เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า “ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดของสหรัฐฯได้รับความเสียหายหรือมีบุคลากรได้รับบาดเจ็บ เราไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่ามันเป็นการโจมตีโดยตรงใส่สหรัฐฯ”แต่ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่า “ละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิรัก” พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ “จะช่วยเหลือพันธมิตรของเราในภูมิภาค ในการป้องกันตนเอง”

อิหร่านถูกมองว่ามีอิทธิพลเหนือรัฐบาลกลางในแบกแดด ขณะเดียวกันอิรักเองก็เป็นเจ้าบ้านของกองกำลังทหารสหรัฐฯแม้ว่าเวลานี้ได้ปรับลดกำลังพลลงอย่างมากแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ยอมถอนกำลังออกหมดแม้รัฐสภาของอิรักจะลงมติเรียกร้องให้สหรัฐฯถอนทหารจากแผ่นดินอิรักให้หมดก็ตาม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อหลายวันก่อน อิหร่านประกาศว่าจะแก้แค้นอิสราเอลที่โจมตีใกล้กรุงดามัสกัสของซีเรีย จนทำให้สมาชิกกองกำลังปฏิวัติของอิหร่านเสียชีวิต 2 คน

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติแห่งอิหร่าน กล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันอาทิตย์ที่ 13มี.ค.ที่ผ่านมาว่า “อีกครั้งที่เราขอเตือนรัฐบาลอาชญากรไซออนิสต์ ว่าการก่อกวนซ้ำๆใดๆจะเผชิญกับการตอบโต้หนักหน่วงรุนแรง เด็ดเดี่ยวและทำลายล้าง”

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการเออร์บิล ปฏิเสธความคิดที่ว่าอิสราเอลมีที่ตั้งทั้งในและรอบๆเมืองเออร์บิล ว่า “ไม่มีมูลความจริง” และยืนยันว่าไม่มีที่ตั้งใดๆของอิสราเอลในภูมิภาคแถบนี้

เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดอย่างหนัก โดยการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านหยุดชะงัก จากการที่รัสเซียถูกสหรัฐฯและพันธมิตรคว่ำบาตร กรณีสงครามยูเครน ขณะเดียวกัน อิหร่านระงับการเจรจาลับเพื่อลดความขัดแย้งกับซาอุดีอาระเบียที่มีอิรักเป็นตัวกลาง หลังจากริยาดประหารชีวิตนักโทษครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงชาวชีอะห์กว่า 30 คน

 

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พล.อ.แฟรงก์ แม็กคินซีจากหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีว่า แม้กองกำลังอเมริกันในอิรักเปลี่ยนไปรับบทบาทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ แต่อิหร่านและกองกำลังตัวแทนยังคงต้องการให้อเมริกาถอนทหารออกจากอิรัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีการโจมตีมากขึ้น

ที่ผ่านมา กองกำลังอเมริกันที่ประจำการอยู่ในพื้นที่สนามบินของเออร์บิลถูกโจมตีด้วยจรวดและโดรนหลายครั้ง และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า เป็นฝีมือกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานลุกลามหนัก หลังจากอเมริกาส่งโดรนโจมตีใกล้สนามบินแบกแดดในเดือนมกราคม 2020 ปลิดชีพนายพลทหารแม่ทัพใหญ่อิหร่านมือวางปราบไอซิส ซึ่งเตหะรานตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพอากาศอัล-อาซาดที่ทหารอเมริกันประจำการอยู่ และทหารอเมริกันกว่า 100 นายได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้นยังได้ชักธงแดงขึ้นสู่เสามัสยิดหลักเป็นสัญญาณการแก้แค้นผู้สั่งการในครั้งนั้นจะไม่หยุดจนกว่าคนผิดจะถูกลงโทษ