“ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้อยู่ดูไบ? โผล่ร่วมโต๊ะผู้ลี้ภัยลอนดอน! จับตาปักหลัก “อังกฤษ”?
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2565) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ไลพ์สดพร้อมกับได้เปิดเผยว่า อยู่ต่างประเทศกว่า 4 ปีคิดถึงบ้านเกิดประเทศไทย ตัวอยู่ได้แต่ใจคิดถึงประเทศ ได้รับคำแนะนำจากพี่ชาย “นายทักษิณ ชินวัตร” ว่าต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มีความสุข รอดจากโควิดมา 2 รอบถือว่าโชคดี
ทั้งนี้ได้ติดตามสถานการณ์ความเดือดร้อนของคนไทยโดยตลอด จึงส่งกำลังใจให้ว่าต้องเข้มแข็ง และเรียกร้องรัฐบาลให้ความช่วยเหลือประชาชน ส่วนใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องฟังเสียงประชาชน ซึ่งประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ความสามารถเยอะ “ส่วนตัวอายุ 50 กว่าปีแล้ว จึงหมดยุคแล้ว ไม่ต้องการเป็นนายกฯอีก เพราะเป็นยุคของคนรุ่นใหม่แล้ว แม้ตัวอยู่ไกลแต่หัวใจยังอยู่ประเทศไทย ยังต้องการช่วยเหลือประเทศชาติ ไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน”
อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ยังยอมรับว่า หนักใจกับการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เพราะถูกคาดหวังมาก จึงต้องพิสูจน์ตัวเอง ทำงานหนักเป็น 2 เท่า “เป็นนายกฯ ไม่ว่าเพศหญิงหรือชายก็ยาก แต่การเป็นผู้หญิงจะยิ่งลำบากกว่า เพราะถูกคาดหวังมาก ต้องทำงานหนัก 2 เท่าเพื่อพิสูจน์ว่าสามารถทำได้ เป็น รมว.กลาโหมเป็นเรื่องท้าทายมาก หนักใจมาก เพราะทำงานกับเหล่าทัพ การสั่งการต้องเน้นผ่านการใช้ใช้ข้อกฎหมายเป็นหลัก”
เมื่อถูกถามว่า ถ้าเจอหน้าพลเอกประยุทธ์ยังคุยกันได้หรือไม่ อดีตนายกฯหญิง กล่าวว่า “ต้องถามกลับพลเอกประยุทธ์ว่าถ้าเจอกันแล้วยังคุยได้หรือไม่?”
ในขณะที่ทางด้าน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส โพสต์ภาพถ่ายคู่กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมระบุข้อความสั้นๆว่า some where with the first thai female prime minister ซึ่งแปลว่า บางที่ที่มีนายกรัฐมนตรีหญิงไทยคนแรก
ทั้งนี้ นายจรัล อยู่ระหว่างการตระเวณ ไปหลายที่ในอังกฤษ ล่าสุดได้ร่วมประท้วงรัสเชียรุกรานยูเครนที่กรุงลอนดอนด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าทั้งนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้พำนักที่ดูไบแล้ว เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษคดี ถูกขับออกจาก ดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนจะหลบมาพักที่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากไปกล่าวพาดพิงมกุฎราชกุมาร ซาอุดิอาระเบีย หลังการเยือนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านมานั้น
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปเมื่อปี 2560 แหล่งข่าวระดับสูงจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ประเทศอังกฤษถือเป็น “ชัยภูมิ” ที่เหมาะสมที่สุดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไปปักหลักใช้ชีวิต ด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ สหราชอาณาจักรเป็นประเทศสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2492 , นายทักษิณ ชินวัตร มีบ้านพักและธุรกิจอยู่ที่อังกฤษ , การเดินทางจากไทยไปอังกฤษใช้เวลา 12 ชม. และจากนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นถิ่นพำนักหลักของนายทักษิณ ใช้เวลา 6 ชม. และประเทศอังกฤษมีสถาบันการศึกษาชั้นนำ เหมาะแก่การศึกษาต่อของนายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ บุตรชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์
“ส่วนที่ไม่เลือกไปอยู่ดูไบ แม้ไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย เพราะติดปัญหาเรื่องโรงเรียนของน้องไปป์ ขณะที่ประเทศฝรั่งเศส ที่มีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทยได้สถานะผู้ลี้ภัยหลายคน ก็ติดปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษา เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่ไกลเกินไปหากครอบครัวจะไปเยี่ยม อังกฤษจึงถือเป็นจุดที่ลงตัวและเหมาะสมที่สุด” แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยกล่าว
เขาเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องยื่นขอวีซ่าลี้ภัยทางการเมืองไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหา หากกระทรวงการต่างประเทศสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทางไทย ก็จะไม่สามารถเดินทางได้เลย เนื่องจากไม่มีสถานะพลเมืองชาติอื่น ต่างจากนายทักษิณที่มีสัญชาติมอนเตเนโกร
ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อปี 2557 ทนายความส่วนตัวของ ยิ่งลักษณ์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ลูกชายของ ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากโรงเรียนนานาชาติที่เคยเรียนอยู่ในไทยแล้ว เพื่อเตรียมตัวไปสมัครเข้าเรียนที่ประเทศอังกฤษ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยไปติดต่อสถานที่เรียนเอาไว้ในระหว่างที่เดินทางไปยุโรปไปร่วมฉลองวันเกิดพี่ชาย คือ นายทักษิณ
โดยทนายความยังบอกว่า ลูกชายอดีตนายกฯไม่สะดวกกับการเรียนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมและกับบรรดาเพื่อนๆ ขณะเดียวกันยังยืนยันว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ตามไปอยู่กับลูกชายที่ประเทศอังกฤษ และที่สำคัญ “ไม่หนี” ไปต่างประเทศแน่นอน เพราะเป็นคนมีสัจจะ พร้อมสู้คดี เนื่องจากเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หากผิดจริงก็ให้ “ประหารชีวิต” ได้เลย เพียงแต่ขอให้มีความเป็นธรรม ไม่ใช้กฎหมายพิเศษเท่านั้น