ยื่นกันเองรับกันเอง! “ตัวพ่อ3นิ้ว” ยื่นหนังสือ “พรรคก้าวไกล” จี้เอาผิด “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” เจี๊ยบ รีบโหน ยกกฎหมายทักษิณ มาชู!
ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11.20 น. ที่รัฐสภา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ตัวแทนกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย พร้อมด้วย น.ส.เพลง ทัพมาลัย นายกองค์การบริหารนิสิตมหาลัยวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร
เพื่อขอให้ตรวจสอบการใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน ในวันที่ 10 ธ.ค.2564 โดย น.ส.เพลง กล่าวว่า พวกเราเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาฐานร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
โดยเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.64 เป็นวันสิทธิมนุษยชนสากลที่พวกเราได้ไปเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนใน 7 ประเด็น เช่น การใช้มาตรา 112 กับประชาชน ซึ่งตลอดเวลาของการทำกิจกรรมในวันนั้น พวกเราสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างตามมาตรการของรัฐบาลที่ออกมา แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นได้มีการส่งหมายเรียกจาก สน.นางเลิ้ง มายังพวกเรา
โดยระบุว่าพวกเรากระทำผิด ย้อนถามกลับไปว่าพวกเราไปเรียกร้องสิทธิซึ่งเป็นสิทธิของพวกเราอยู่แล้วเป็นความผิดหรือไม่ และการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวอ้างว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นำมาเพื่อป้องกันโควิด แต่ 2 ปีที่ผ่านมาก็ยังมีคนเสียชีวิต ซึ่งไม่ได้เป็นการป้องกันโควิดเลย แต่เป็นการนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ฉะนั้น วันนี้จึงมายื่นหนังสือถึง กมธ.พัฒนาการเมืองให้ตรวจสอบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ว่าใช้อำนาจโดยสุจริตหรือไม่
ซึ่งถ้าไม่ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย และขอให้ยับยั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้ ขอสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารราชการฉุกเฉิน ซึ่งพรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนจะประกาศต่อ
ขณะที่ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะคณะทำงาน กมธ.กล่าวว่า สถานการณ์การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาปราบปรามประชาชน ซึ่งเป็น พ.ร.ก.ที่ถูกออกแบบไว้ใช้เพื่อสถานการณ์ความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในสมัย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เรียกว่าเป็นการนำกฎหมายมาใช้อย่างผิดฝาผิดตัว และยังมีการนำกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคงมาใช้กับคดีความทางการเมืองมากถึง 1,767 คดี และเป็นการใช้ พ.ร.ก.มากถึง 1,428 คดี
เห็นได้ชัดว่านอกจากใช้กฎหมายผิดฝาผิดตัวแล้วยังนำมาใช้อย่างสองมาตรฐาน จะเห็นได้จากการชุมนุมในบางครั้ง เช่น ที่สนามหลวงมีผู้ชุมนุมอยู่สองฝั่ง คนละสีเสื้อ คนละจุดยืน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับอยู่ฝั่งเดียว เราจะเห็นได้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมถึงสถาบันตุลาการ ไม่เช่นนั้นประเทศเราไปต่อไม่ได้