“ธรรมนัส” นั่งไม่ติด! ลุกเคลียร์ปมเศรษฐกิจไทยขอ “มท.1” ย้ำจุดยืน ทำเพื่อผลประโยชน์ใคร?
จากกรณีที่มีรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ซึ่งได้นัดหมาย กลุ่ม ส.ส. ที่ถูกขับพ้นออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปหารือกันที่ จ.ภูเก็ต เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนงานการเมืองของพรรคหลังจากนี้
ทั้งนี้ การหารือของพรรคเศรษฐกิจไทย มีข้อสรุปสำคัญในเรื่องข้อเสนอต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เพื่อแลกกับการสนับสนุนรัฐบาล โดยเห็นตรงกันว่า บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่ง มท.1 คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากมีศักยภาพ สามารถตอบสนอง ส.ส.ในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และเป็นการขยายฐานทางการเมืองรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โมเดลที่จะให้พล.อ.ประวิตร ควบ รมว.มหาดไทย แทน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้น เคยมีการพูดถึงมาแล้วตั้งแต่ช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัส ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ โดยในครั้งนั้น ส.ส.ในสาย ร.อ.ธรรมนัส ต่างสนับสนุน และต้องการให้ ร.อ.ธรรมนัส ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทยด้วย
ล่าสุดทาง ร.อ.ธรรมนัส ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ตามที่มีข่าวจากสำนักข่าวบางสำนัก เผยแพร่ข่าวว่าผมและ กลุ่มพี่น้อง ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ได้มีการประชุมกันที่ภูเก็ตและได้มีมติว่า “ทางพรรคจะร่วมรัฐบาลโดยขอต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ”
ผมและกลุ่มพี่น้อง ส.ส. พรรค เศรษฐกิจไทย ขอยืนยันจุดยืนเดิม คือขอทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำรงไว้ซึ่งเสาหลักของบ้านของเมือง นั่นคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ครับ #การเมืองวุ่นเพราะใคร
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 ทางร.อ.ธรรมนัส ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีในวันที่มีมติขับ ร.อ.ธรรมนัส และส.ส.ในพรรค ว่ามีการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี โดยระบุข้อความว่า
ผมและกลุ่มพี่น้อง สส แยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจะมาทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาประเทศชาติให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบยั่งยืนและยึดมั่นในสถานบันหลักของบ้านเมืองนั่นคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
จากการที่ผมไปเยี่ยมเยือนพี่น้องประชาชนตามพื้นที่ต่างๆทั้ง 77 จังหวัด ผมเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในหลายๆเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปากท้องและคุณภาพชีวิตการของพี่น้อง หลายครอบครัวที่ลำบากมาก อดมื้อกินมื้อ มองไม่เห็นอนาคตของลูกหลานเลย ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีความจำเป็นต้องแก้ไขจากภาครัฐอย่างเอาจริงเอาจังและยังมีปัญหาอีกมากมายที่พี่น้องประชาชนคนไทยยังเฝ้ารอความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนครับ
ดังนั้นการแยกตัวของผมและกลุ่มพี่น้อง สส มาอยู่พรรคใหม่นั้นไม่ใช่เป็นการต่อรองเพื่อต้องการตำแหน่งเก้าอี้ทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น แต่พวกเรา ต้องการทำงานเพื่อพัฒนาประเทศชาติ บ้านเมืองและแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเอาจริงเอาจังครับ
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาร.อ.ธรรมนัส ที่อยู่ระหว่างการกักตัวที่จังหวัดภูเก็ตตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ภายหลังเดินทางกลับจากประเทศในกลุ่มยุโรป กล่าวถึงกรณีมีสื่อบางสำนักนำเสนอบทวิเคราะห์ทำนองว่า เบื้องหลังที่ตนเองและกลุ่มพี่น้อง ส.ส.แยกตัวออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปสังกัดพรรคใหม่นั้น เป็นการต่อรองเพื่อต้องการตำแหน่งเก้าอี้ในรัฐบาลนั้น ตนเองขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
“กรณีที่มีการพาดพิงว่า ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งผม และอาจารย์แหม่ม รวมถึงพล.อ.วิชญ์ หารือกันและคาดว่าทุกอย่างลงตัวไม่มีปัญหา ผมจึงขอลาไปพักผ่อนที่ยุโรป นั้นถือเป็นการคาดเดาที่ไม่มีมูลความจริง เพราะไม่เคยมีการพูดคุยแบบนั้น และก็ไม่เคยมีแนวคิดเรื่องการต่อรองเก้าอี้ใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนถ้ามีบางคนฉวยโอกาสนำกรณีที่ผมและกลุ่มพี่น้อง ส.ส. ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐแล้วไปต่อรองเก้าอี้ในรัฐบาลหรือไม่นั้น นับว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และอยากจะถามว่ามีสิทธิอะไร หรือใครมอบอำนาจให้ไปต่อรองในเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นนั้น เพราะผมเคยพูดไปชัดเจนแล้วว่า ผมและกลุ่มพี่น้องออกมาแล้วมีความตั้งใจจะมาทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาประเทศชาติให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบยั่งยืนและยึดมั่นในสถานบันหลักของบ้านเมืองนั่นคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ “ ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวว่า ในปัจจุบันพี่น้องประชาชนหลายพื้นที่ทั่วประเทศใช้ชีวิตอย่างลำบากจากสถานการณ์โควิด จึงต้องการเดินหน้าแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง ไม่มีเวลามาเล่นเกมการเมืองหรือต่อรองอำนาจใดๆแบบไร้สาระ ตราบใดที่มีปัญหาอีกมากมายที่พี่น้องประชาชนคนไทยยังเฝ้ารอความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนในขณะนี้