ถอยหลังไม่ได้แล้ว? สามนิ้วจี้หนัก เตรียมเทก้าวไกล หาก “วิโรจน์” ไม่แก้ ม.112 ตามที่พูด!

1766

หลังจากที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. ก้าวไกล ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ระบุว่า “อยากให้ทุก ๆ พรรคการเมือง แสดงท่าทีต่อการแก้ไข หรือยกเลิก ม.112 ครับ ยิ่งมากพรรคยิ่งดี ทุกพรรคเลยยิ่งดีใหญ่ จะได้มีเวที และพื้นที่ปลอดภัยที่จะได้พูดคุยในเรื่องนี้ อย่างจริงจังเสียที”

แต่ต่อมาได้มีหลายพรรคแสดงจุดยืน ว่าจะไม่ขอร่วมแก้มาตรา 112 ทั้งพรรคประชาธิปปัตย์ และพรรคกล้า จนทำให้นายวิโรจน์ ก็กลับลำชี้แจง เรื่องการยกเลิกมาตรา 112 ระบุว่า “ต้องเข้าใจก่อนว่า การเปลี่ยนแปลงใน ม.112 ก็ยังอยู่ในครรลองของระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ นะครับ แต่การท่าทีที่ชัดเจนของพรรคการเมือง ไม่ว่าจะมีท่าทีอย่างไร ก็เป็นผลดีต่อการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งจะได้หารือเป็นประเด็นทางสังคมต่อไปครับ การที่ ม.112 ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับสถาบันกษัตริย์ ถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามสิทธิเสรีภาพของคนคิดต่าง แบบพร่ำเพรื่อต่างหาก ที่นอกจากจะกระทบถึงสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังทำให้สถาบันฯ ถูกดึงเข้าไปอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง และสุ่มเสี่ยงที่รัฐ จะนำมาใช้เป็นเกราะกำบังในการตรวจสอบ”

 

อีกทั้งนายวิโรจน์ยังเปิดเผยด้วยว่า พรรคก้าวไกล ได้ยื่นแก้ไข ม.112 ไปตั้งแต่ 10 ก.พ. แต่ไม่ได้รับการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมเสียที หากยังคงปฏิเสธการแก้ไข ม.112 แล้วปล่อยให้ ม.112 ถูกใช้อย่างกว้างขวาง แบบที่เป็นอยู่ จนคดีความมีอยู่เต็มไปหมด ก็อาจนำไปสู่ การยกเลิก ในที่สุด เมื่อ 9 เดือนก่อน “การแก้ไข” น่าจะเป็นเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงที่พอที่จะผสานกันได้ของคนที่คิดแตกต่างกัน แต่ปรากฎว่า การใช้ ม.112 กลับหนักข้อขึ้น พร่ำเพรื่อมากขึ้น จนปัจจุบัน “การแก้ไข” ดูเหมือนว่าจะต้องมีการทบทวน และคงต้องพิจารณาข้อเสนอ “ยกเลิก” ร่วมด้วย

ทำให้มีกระแสคอมเม้นต์จากกลุ่ม 3 นิ้วจำนวนมาก เพราะต้องการให้ก้าวไกล ยื่นม.112 ให้สำเร็จ เนื่องจากไม่ต้องการให้แกนนำม็อบ ติดคุก อีกทั้งกลุ่มนี้มองว่ามาตรา 112 เป็นปัญหาใหญ่ และได้วิจารณ์ท่าทีของก้าวไกล ที่ตอนนี้อาจจะเหลือเพียงพรรคเดียว ที่ยังย้ำจุดยืนแก้ 112 ว่าเวลาล่วงเลยมานาน จะทำได้หรือไม่ได้ ถือเป็นการวัดพลังของก้าวไกล เพราะหากทำได้ ก็พร้อมหนุนฐานเสียง แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็คงผิดหวัง เพราะออกตัวแรง แต่ทำไม่ได้

จนล่าสุด นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางแนวทางการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ว่า การแก้ไขมาตรา 112 พรรคก้าวไกลดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ การแก้ไข น่าจะเป็นทางออกที่โอบรับบุคคลทุกฝ่ายที่พอจะมีฉันทามติร่มกันได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไป มาตรา 112 ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีมากเป็นประวัติการณ์ จนสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นคดีการเมืองแล้ว อาจจะไม่ใช่คดีอาญาแล้ว เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เราต้องทบทวนร่างที่ยื่นไปเมื่อ 9 เดือนก่อน ยังสอดรับกับสถานการณ์หรือไม่ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การแก้ไขที่อาจจะยอมรับได้ในวันนั้น

วันนี้ประชาชนเรียกร้องมากขึ้นกว่านั้น มีการปล่อยให้มีการใช้มาตรา 112 ที่พร่ำเพรื่อ เกิดการฟ้องร้องกันเต็มไปหมด คนที่โดนมาตรา 112 เปิดชื่อมา บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่อาชญากรต่อชาติบ้านเมือง คนที่ก่ออาชญากรรมค้ายาเสพติด ฆาตกร ยังไม่ถูกลงโทษขนาดนี้เลย ตกลงแล้วเขาสมควรได้รับโทษเยอะขนาดนี้หรือไม่ จากการเสนอแก้ไขเมื่อ 9 เดือนก่อน วันนี้พรรคก้าวไกล ต้องกลับมาทบทวนแล้วว่า มันตอบรับกับสถานการณ์หรือไม่ แต่เราต้องคิดถึงการโอบรับคนอื่นด้วย แค่การแก้ไข ยังไม่มีพรรคการเมืองใดลงชื่อร่วมกันกับเราเลย ก็ต้องคิดถึงมือในสภาด้วย ถ้ามือในสภาฯยกผ่าน จึงจะเกิดการแก้ไข ความพยายาม หรือการผลักดันจากภาคประชาชนที่จะให้มีการยกเลิกมาตรา 112 พรรคก้าวไกล ก็รับฟัง

เมื่อถามว่า ตอนนี้เสียงพรรคก้าวไกลไม่พออยู่แล้วในการแก้ไขในสภา จะมีแนวทางผลักดันอย่างไรต่อไป นายวิโรจน์ กล่าวว่า อันดับแรก ส.ส.ของเราทุกคนต้องเร่งทำการบ้าน รวบรวมปัญหา และความเห็นของประชาชนทุกกลุ่ม วันนี้ไม่ใช่ว่าใครต้องเริ่มก่อน แต่ต้องเริ่มไปพร้อมกันนี้ พรรคก้าวไกลต้องขยับในสภาด้วย ข้างนอกต้องขับเคลื่อนด้วย เป็นการเติมกำลังใจกัน ตนคิดว่า เรื่องนี้เราต้องอดทน และอย่าล้มเลิกความตั้งใจ

ส่วนจะมีการหาว่าพรรคก้าวไกลไปปลุกม็อบอีกหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนี้ถ้าพรรคก้าวไกลเงียบ คุณคิดว่าสังคมหยุดหรือไม่ กลับคิดว่า ถ้าวันนี้พรรคก้าวไกลเงียบ ภาคประชาชนจะยิ่งรุนแรง เพราะไม่มีทางระบายออกเชิงระบบที่เป็นไปได้ ข้อกล่าวหาว่าพรรคก้าวไกล ปลุกม็อบนั้น วันนี้ภาคประชาชนตั้งคำถามกับพรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง ในสภา เป็นพรรคที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคประชาชนว่า ตอบสนองเขาน้อยเกินไป ขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า ไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน เป็นความชอบธรรมของภาคประชาชนที่จะเรียกร้องมากกว่าสิ่งที่เราทำ เราก็ต้องน้อมรับและสกัดเอาแก่นของความคิดเห็นเหล่านั้นมาประมวล

เมื่อถามถึงท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะเอาด้วย แต่ตอนหลังก็เปลี่ยนท่าทีไป นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีพรรคเพื่อไทย คงต้องไปถามพรรคเพื่อไทยเอง แต่การทำงานของพรรคก้าวไกล คงจะโฟกัสที่การทำงานของพรรคก้าวไกล เรื่องของพรรคเพื่อไทย คงต้องหารือกันในวิปฝ่ายค้าน เราก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของเขา ประชาชนก็ต้องติดตามท่าทีของแต่ละพรรคเอง คงไม่ไปวิจารณ์การทำงาน แต่ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้น้อยใจอะไร แต่เราเข้าใจสถานการณ์ว่า เสียงในการแก้ไขเริ่มไม่เพียงพอแล้ว เราก็ต้องทำงานหนักขึ้น

อย่างไรก็ตาม น่าจับตามองถึงท่าทีการแก้ไขม.112 ของพรรคก้าวไกล ต่อไป ว่าฐานเสียงของพรรคจะยังได้รับการสนับสนุนจากกองเชียร์ม็อบเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะหากก้าวไกลยังหยุดตอนนี้ ก็มีแต่โดนถล่ม และถ้าหากเดินหน้าต่อ ก็อาจจะไม่สำเร็จ เพราะมีเสียงคัดค้าน มากกว่าเสียงสนับสนุน