รมต.กต.สหรัฐและจีนหารือนอกรอบระหว่างการประชุมผู้นำ G20 โดยทั้งสองได้หารือหลายประเด็น แต่ที่เคร่งเครียดที่สุดและไม่มีอะไรคืบหน้าคือ กรณีไต้หว้น เพราะสหรัฐยังเล่นบทสองหน้า ปากบอกยืนยันยึดถือนโยบายจีนเดียว แต่ต้องการดำเนินความสัมพันธ์กับไต้หวันแบบนี้ต่อไป จนกระทั่งหวังอี้ต้องเอ่ยปาก ขอให้สหรัฐเลิกพูดอย่างทำอย่าง
เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ระหว่างการประชุมผู้นำ G20 ที่กรุงโรม อิตาลี มีการประชุทนอกรอบระหว่าง นายแอนโทนี บลิงเคน รมต.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ(Antony Blinken) กับนายหวัง อี้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน (Wang Yi) ในหลายประเด็น ได้แก่ สถานการณ์ในอัฟกานิสถาน กรณีเมียนมา รวมถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวัน
โดยสหรัฐฯ เน้นย้ำในการสนับสนุนนโยบายจีนเดียว แต่ยังคงต้องการสร้างความร่วมมือกับไต้หวัน และ ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์กับจีน โดยเฉพาะต้องการให้มีการจัดการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศในปลายปี 2564นี้
การประชุมนอกรอบแบบเห็นหน้ากันครั้งแรก ระหว่างนักการทูตระดับสูงของทั้งสองประเทศเกิดขึ้นหลังจากบลิงเคน แถลงยั่วยุท้าทายอธิปไตยของจีนโดยระบุว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนไต้หวัน “อย่างแข็งแกร่ง” ให้มีส่วนร่วมในสหประชาชาติ
สื่อรายงานว่าทั้งหวัง อี้ และแอนโทนี บลิงเคน ถ่ายรูปร่วมกันหลังจากทักทายกันอย่างสุภาพ แต่ไม่ได้จับมือหรือมีกระแทกข้อศอกที่ปลอดภัยจากโควิด เป็นท่าทีหมางเมินทั้งเมื่อพบกันและจากกัน
นักวิเคราะห์ชาวจีนกล่าวว่า ทั้งภาษากายและรายละเอียดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบรรยากาศของการประชุมตึงเครียดพอๆ กับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และถึงแม้ว่าจะไม่ช่วยให้สถานการณ์สงบลง แต่การเปิดการสื่อสารอย่างเปิดเผยอย่างน้อยก็จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและจัดการกับความแตกต่างได้ ในการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ ต่อคำถามไต้หวัน วอชิงตันควรคำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากจีนตัดสินใจที่จะตอบโต้ เนื่องจากการกระทำของสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนจีนในการเปิดใช้กฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนอย่างชอบธรรมแล้ว
หวัง อี้ชี้ให้เห็นในการประชุมว่า สหรัฐฯอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จีนต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะของไต้หวัน เป็นเหตุก่อให้เกิดความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันซึ่งไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง และเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างร้ายแรงต่อประชาคมระหว่างประเทศ
เขากล่าวว่า“คำถามเรื่องไต้หวันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่สุดระหว่างจีนและสหรัฐฯ และหากคำถามถูกจัดการอย่างไม่ถูกต้อง มันจะสร้างความเสียหายอย่างท่วมท้นต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ โดยรวม” พร้อมย้ำว่าสถานภาพที่แท้จริงคือ มีจีนเพียงแห่งเดียว ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แผ่นดินใหญ่และไต้หวันเป็นประเทศเดียวกัน ความพยายามใดๆ ในการเปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน หรือสร้างวิกฤตช่องแคบไต้หวัน กระทบความสงบสุขของภูมิภาค”
หวัง อี้ กล่าวว่า ปมของสถานการณ์ปัจจุบันในช่องแคบไต้หวันคือการที่หน่วยงานแบ่งแยกดินแดนของไต้หวัน พยายามทำลายกรอบของหลักการจีนเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสหรัฐฯรู้เห็นเป็นใจและสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอย่างเปิดเผย จึงขอให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อจีน โดย ปฏิบัติตามนโยบายจีนเดียวอย่างแท้จริง แทนที่จะพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
หลู่ เซียง(Lü Xiang) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของสหรัฐอเมริกาและนักวิจัยจาก Chinese Academy of Social Sciences กล่าวว่า “สหรัฐฯ ไม่น่าจะหยุดการเคลื่อนไหวที่ยั่วยุในเรื่องของไต้หวัน ในอนาคตความตึงเครียดทางทหารในช่องแคบไต้หวันอาจทวีความรุนแรงขึ้นอีก และการส่งเครื่องบินรบเฉียดไต้หวันเป็นการทดสอบแรงกดดันสำหรับ ‘นโยบายจีนเดียว’ ของสหรัฐฯ ด้วยวิธีนี้ เราจะเห็นผลที่ตามมาเมื่อสหรัฐฯยังเล่นสองหน้าแบบนี้”
หลูู่กล่าวว่า “หากสหรัฐฯล้มเหลวในการแก้ไขข้อผิดพลาด และยังคงยั่วยุในเรื่องละเอียดอ่อนของไต้หวัน สหรัฐฯ ก็ไม่มีโอกาสได้รับความร่วมมือหรือความช่วยเหลือใดๆ จากจีนด้านอื่นๆอีกต่อไป”