ทำเป็นเฟี้ยว? “เต้น” คุยฟุ้งโชว์ขาใหญ่ประจำคุก ฝากฝังตัวจี๊ด ดูแล “อานนท์- ไมค์” หนุนให้ปล่อยตัว!

1906

จากกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ ได้ออกมาหนุนปล่อยตัว “เบนจา” แกนนำม็อบ 3 นิ้ว ว่าให้ผู้ใหญ่เปิดใจรับฟังเด็ก และไม่ควรกวาดเด็กเข้าคุก แต่ได้มีคอมเม้นต์แย้งว่า วีรกรรมที่เบนจาได้ทำ เกินจะปล่อยตัวออกมาอีกครั้ง เพราะว่าแกนนำหลายคนชอบทำผิดซ้ำซาก และไม่เคารพเงื่อนไขของศาล

ล่าสุดนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง กล่าวถึงเรื่องของ “อานนท์-ไมค์” ที่ตอนนี้ยังถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ระบุว่า ” 4 กันยายน 63 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 06.30 น. เชิงบันไดเรือนนอนแดน 2

“เข้ามาเยี่ยมกันถึงในนี้เชียวเหรอวะ อานนท์” ผมส่งคำทักถึงทนายน้อยจากร้อยเอ็ดซึ่งนั่งขัดสมาธิกับพื้นรอทำประวัติอยู่ ถัดไปคือไมค์ ระยอง ที่เข้ามาทัศนศึกษาด้วยกัน

2 คนนี้เป็นแกนนำชุดแรกที่ผมพบในเรือนจำ ก่อนจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกือบครบ รู้ข่าวพวกเขาจะเข้ามาตั้งแต่บ่ายวันที่ 3 ผมต้องขึ้นเรือนนอนก่อนจึงจัดเตรียมข้าวของจำเป็นพร้อมสรรพฝากผู้ต้องขังผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ไว้ให้ เรื่องความเป็นอยู่ผมมั่นใจ ทำการบ้านไว้ก่อนด้วยการบอกน้อ งๆ ผู้ช่วยงานในแดนให้ช่วยกันดูแล ตัวจี๊ดตัวเปรี้ยวทั้งหลายคุยหมด ส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกัน

“ช่วยกันดูด้วยนะโว้ย มีอะไรก็บอกกัน พวกนี้มันน้องพี่”

“ครับอา” ทุกครั้งผมแทนตัวว่าพี่ แต่พวกในแดนมันเรียกอากลับมาทุกที

เช้านั้นผมรับน้องด้วยกาแฟกับขนม “เคยเข้ากันมาก่อนมั้ย” ผมเช็คประสบการณ์ “ไม่เคยครับ ครั้งแรกทั้งคู่” 1 ใน 2 คนตอบ

ผมไม่เคยเจอไมค์ ตอนคุยกันก็สังเกตเขาไปด้วย เจ้าตัวบอกไม่เคยเคลื่อนไหวการเมือง เป็นนักกิจกรรมที่ส่วนใหญ่ต่อสู้ประเด็นสังคม เปิดตัวเป็นที่รู้จักจากการชูป้ายไล่ประยุทธ์ที่ระยอง เป็นไมค์ ระยอง ของเพื่อนพี่น้องที่ร่วมต่อสู้จนวันนี้ ใจห่วงว่าเจอคุกจริงจะไหวไหม แต่ดูไมค์ไม่ใช่แค่นักต่อสู้ทางการเมือง เด็กหนุมคนนี้คงผ่านการต่อสู้ในชีวิตมาไม่น้อย สีหน้าแววตาไม่ใช่คนยอมแพ้ง่าย ๆ เขาจะผ่านด่านทดสอบนี้ ผมสรุปในใจ

คงด้วยช่องว่างของวัยและไม่เคยพบกันมาก่อน บทสนทนาระหว่างผมกับไมค์จึงไม่ยาวนัก ส่วนอานนท์เรารู้จักกัน เขาเป็นทนายจำเลยคนหนึ่งในคดีก่อการร้าย เจอกันที่ศาลและงานกิจกรรมอื่น ๆ ก็คุยกันบ้าง ปะทะกันจัง ๆ ตอนน้อง ๆ ลากผมไปกินลาบโต้รุ่งหลังงานแต่งดร.ปิยบุตร

ถึงขั้นร้องขอกลับบ้านกันเลยทีเดียว

อานนท์เป็นลูกชาวนา เรียนมัธยมเป็นประธานนักเรียน จบเนติบัณฑิตมีสิทธิ์สอบเป็นอัยการ ผู้พิพากษา แต่มาเอาดีทางเป็นผู้ต้องขัง น่าจะเป็นทนายไม่กี่คนที่ติดคุกมากกว่าจำเลย เป็นคนนิ่ง ๆ แต่ถ้ากวนตีนก็ประสบความสำเร็จ “ผมว่าเรือนจำน่าจะขายเบียร์นะพี่ ผู้ต้องขังจะได้กินผ่อนคลาย” เขาแสดงวิสัยทัศน์ตอนผมพาไปซื้อของที่ร้านค้า

“อานนท์อายุเท่าไหร่แล้วน้อง”

“36 ครับ”

อายุมากกว่าเราตอนอยู่บนเวทีปี 53 ผมนึกย้อนอดีต

“ตอนพี่ติดคุก ลูกพี่อายุเท่าไหร่”

“คนโต 2 ขวบ คนเล็กเพิ่งได้ 9 วัน อานนท์มีลูกหรือยัง”

“มีครับ ลูกสาว ยังเล็กอยู่” นัยน์ตาเขาสั่นไหว

“ข้างนอกเป็นไงบ้าง” ผมอยากรู้เหตุการณ์

“ไปเร็วมากพี่ คนตื่นตัว เด็กสู้ไปถึงรุ่นมัธยม ผมว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ นี้ พี่มีอะไรแนะนำมั้ย”

“มันเลยวัยของพี่ไปแล้ว นี่เป็นการต่อสู้ของพวกน้อง พี่ไม่ได้คิด ไม่ได้ร่วมขบวนด้วย ไม่กล้าแนะนำหรอก”

“แต่ถ้าบอกได้ฝากน้องไว้นิดเดียว ถ้าต้องตัดสินใจ ให้เลือกความปลอดภัยของประชาชนไว้ก่อน เราตัดสินใจให้คนเจ็บตายไม่ได้ แต่ตัดสินใจให้เขาปลอดภัยได้”

น้อง ๆ ทุกคนทุกกลุ่มเข้ามาถ้าเขาไม่ถามเรื่องการต่อสู้ผมไม่เคยพูด นั่นเป็นครั้งเดียวที่เสนอความเห็นไปกับอานนท์ เพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นพี่ใหญ่คนหนึ่งในขบวน

อานนท์ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีก เล่าให้ผมฟังว่าดึกวันที่ 14 ต.ค. 63 ตอนประกาศให้พี่น้องกลับบ้าน เขานึกถึงคำพูดนี้

ผ่านมาแล้วกว่า 1 ปี ….

ผมตั้งใจบันทึกเรื่องราวของน้อง ๆ ในมุมที่ได้สัมผัส เพื่อชี้ให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าพวกเขาก็เหมือนท่าน มีชีวิต เรื่องราว ปัญหา ความเจ็บปวดและการต่อสู้ของตัวเอง ไม่ใช่พวกกเฬวราก ป่วนบ้านกวนเมืองอย่างที่บางคนว่าร้าย

ไมค์เติบโตปากกัดตีนถีบมากับแม่ อานนท์เป็นลูกชาวนาที่เรียนจบกฎหมาย เป็นทนายมีลูกเล็ก ภาพชีวิตแบบนี้เห็นได้ทั่วไป

มีคนคิดต่างจากพวกเขา แต่ที่คิดเหมือนก็ไม่ใช่น้อย การต่อสู้ของเด็กรุ่นนี้คือปรากฏการณ์ของยุคสมัย สังคมไทยกำลังเผชิญคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่ได้เป็นคนสร้างแต่เป็นผลผลิตของมัน

แม่เป็นห่วงไมค์ ลูกเมียคิดถึงอานนท์ คงมีคำถามว่าลูกของแม่กับพ่อของลูกไม่ใช่โจร ศาลยังไม่ตัดสินว่าผิด จะต้องขังจนถึงเมื่อไหร่ บ้านเมืองบอบช้ำประชาชนย่ำแย่ลงทุกวัน ประยุทธ์ดึงดันอยู่ต่อ รัฐธรรมนูญแก้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ทุกอย่างมาลงที่เด็ก เอาปืนยิง เอาคุกขัง แล้วเราจะออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร

ผมไม่ได้เรียกร้องอภิสิทธิ์โดยอ้างเรื่องราวส่วนตัวของผู้ต้องขัง แต่สถานการณ์นี้จะจัดการโดยอำนาจ ด้วยความชิงชัง มองพวกเขาเป็นศัตรูไม่ได้ ขอเสนอให้เปลี่ยนวิธีคิด แก้ปัญหาด้วยความเข้าใจ เมตตาและอยู่บนความจริง ปล่อยเด็กออกจากคุกเถอะครับ”