ย้อนวันวาน “พล.อ.ประยุทธ์” นำทัพ”พปชร.” ด้วยตัวเอง จนได้เป็นแกนนำรัฐบาล!

1650

หลังจากที่ได้มีการประชุมส.ส.พรรคพลังประชารัฐ โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค เดินทางมาเป็นประธานการประชุมด้วยตัวเอง เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น ซึ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค มาร่วมประชุมเป็นครั้งแรกหลังจากถูกปลดออกจากรัฐมนตรีด้วย

โดยพล.อ.ประวิตร ยังย้ำกับ ส.ส. เรื่องการสลายก๊กและมุ้งต่าง ๆ ในพรรคว่า ขอให้ช่วยกันทำให้พรรคมั่นคง ขอให้รักกัน สามัคคีกัน ช่วยกัน “อย่ามีกลุ่ม มีก๊วน ต่อไปจะมีแต่กลุ่มหัวหน้าพรรค แล้วห้ามไปตั้งก๊วน ตั้งมุ้ง ส่วนมุ้งต่างๆ ที่เคยดูแล ส.ส.กันอยู่ ขอให้หยุด ต่อไปถ้าจะดูแล มาเอาที่ผม ผมรับผิดชอบคนเดียวเอง”

และมีช่วงหนึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้ปลุกขวัญกำลังใจ ส.ส.ว่า จะดูแลทั้งพรรคและการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ จะทำให้พรรคได้ไม่น้อยกว่า 150 เสียงให้ได้ ทุกอย่างเหมือนเดิม หลังจากนั้น ส.ส.หลายคนได้แสดงความคิดเห็นหลากหลาย โดยมีข้อเสนอหนึ่ง ขอให้นายกรัฐมนตรีมาดูโครงการพัฒนาของส.ส.ด้วย เพื่อส.ส.จะได้มีผลงาน ขณะเดียวกัน ยังได้มีการเสนอว่า ให้รัฐมนตรีของพรรคไปช่วยดูแล ส.ส.เวลาลงพื้นที่ด้วย

นอกจากนี้หลายคนมองว่า การที่ร.อ.ธรรมนัส กลับลำอยู่พรรคพลังประชารัฐต่อ และมีการแต่งตั้งพลเอกวิชญ์เข้ามานั่งประธานยุทธศาสตร์ของพรรคนั้น เป็นการกระชับอำนาจ เหมือนเป็นการลอยแพพลเอกประยุทธ์ จนกองเชียร์ที่หนุนพลเอกประยุทธ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์กันต่าง ๆ นานา โดยบอกว่าพรรคอื่นจะให้ลุงตู่ไปอยู่ด้วยแล้ว ที่คนเลือกพลังประชารัฐกัน เขาเลือกเพราะมีลุงตู่นำทัพ

ทั้งนี้เมื่อย้อนไปดูเหตุการณ์ช่วงก่อนเลือกตั้ง ในปี 2562 หลังจากที่กกต.มีคำสั่งให้ พลเอกประยุทธ์ สามารถลงหาเสียง ขึ้นเวทีปราศรัยได้ รวมทั้งลงพื้นที่เดินหาเสียงกับส.ส. และในช่วงสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ ได้ทำหน้าที่ปลุกกระแสความเชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่

โดยปราศรัยที่เวทีจังหวัดนครราชสีมาที่แรก เพราะเป็นบ้านเกิดของพลเอกประยุทธ์ และที่สนามฟุตบอลทุ่งทะเลหลวง สโมสรสุโขทัย เอฟซี อ.เมือง จ.สุโขทัย แกนนำพรรคพลังประชารัฐในตอนนั้น ได้เปิดวีดีโอของพลเอกประยุทธ์ เรียกเสียงได้จากชาวบ้านเป็นอย่างดี เพราะได้ขอบคุณพี่น้องที่วางใจให้บริหารประเทศมาก่อนหน้านี้ 5 ปี และสัญญาว่าจะพัฒนาให้ดีขึ้น

พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าทำเพื่ออนาคตลูกหลานคนไทยทุกท่าน ซึ่งการเคลื่อนไหวในช่วงนั้น ทำให้หลายพรรคและคอติดตามข่าวการเมือง ต่างชื่นชมว่าบิ๊กตู่มาเหนือเมฆ ปราศรัยช่วงโค้งสุดท้าย แต่ได้กระแสตอบรับจากพี่น้องคนไทยอย่างมาก อีกทั้งการปราศรัยใหญ่ ณ สนามกีฬาเทพหัสดิน จ.กรุงเทพฯ ก็มีกระแสตอบรับดี โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังประมาณ 12,000 คน

 

ขณะที่ช่วงนั้น นายอุตตม สาวนายน ยังย้ำด้วยว่า การวางหมากของ พปชร.ที่จะดัน พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นทัพหน้าในการช่วยหาเสียงเลือกตั้ง ในช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะมีข้อจำกัดคือทำได้เฉพาะช่วงหลังเวลาราชการ-วันหยุดราชการ แต่ด้วยความเป็นนายกฯ-หัวหน้า คสช. ที่อยู่ในตำแหน่งมาร่วม 5 ปี แม้จะมีคนชอบ-ไม่ชอบบ้าง แต่ พปชร.ก็เชื่อว่า ยังไงก็ต้องมีกองเชียร์ คนชื่นชอบ บุคลิกลักษณะของบิ๊กตู่มากพอสมควร ผนวกกับหากบิ๊กตู่ไปลงพื้นที่หาเสียง เดินพบปะประชาชนพร้อมกับผู้สมัครในแต่ละจังหวัด ก็ถือเป็นแต้มต่อที่จะสร้างกระแส เรียกเรตติ้ง-กระแสนิยมให้ผู้สมัครและให้พรรค พปชร.ได้

อย่างไรก็ตามจากการทุ่มเททำงานของพลเอกประยุทธ์ ที่ถือเป็นทัพหน้าในพรรคพลังประชารัฐ ก็เพียงพอจะตอกย้ำได้ว่า พลเอกประยุทธ์เป็นแรงสำคัญที่ทำให้พรรคได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นทิศทางการเคลื่อนไหวในพรรคจึงน่าจับตามอง เพราะหากครั้งหน้าไม่มีการเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ อาจจะทำให้กองเชียร์และคะแนนเสียงของพลังประชารัฐลดหายไปด้วยแน่นอน