กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง กับกระแส แบน freeyouth ของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่สืบเนื่องมาจากม็อบวันที่ 7 ส.ค. ที่มีกลุ่มมวลชนบางส่วนป่วนสร้างความรุนแรง ทำลายทรัพย์สิน ทั้งเผารถตำรวจ และพ่นสีทำลายอนุสาวรีย์ชัยฯ นอกจากนี้ยังมีการขว้างปาระเบิดตอบโต้กลับใส่เจ้าหน้าที่ด้วย
ล่าสุดทนายอานนท์ นำภา แกนนำราษฎร ได้ออกมาเคลื่อนไหว ชื่นชมกลุ่มเยาวชนปลดแอก หลังจากจบม็อบ เพราะตอนแรก ทนายอานนท์บอกว่า ตนเองนั้นเป็นแค่คนตาม แต่น้อง ๆ กลุ่มนี้เป็นตัวเปิด ที่จะบุกไปวัง โดยครั้งนี้ทนายอานนท์ โพสต์ข้อความระบุว่า #ให้กำลังใจFreeYouthความจริงไม่ค่อยอยากเขียนอะไรแบบนี้เท่าไหร่ เขิน ปกติไม่ใช่คนชอบพูดอะไรหวาน ๆ โดยเฉพาะกับคนกันเอง
1. ผมชอบไอเดียเรื่องการทำม็อบที่เป็นของทุกคน ให้คนที่มาร่วมมีความเท่าเทียมในแง่การลงแรง การมีส่วนร่วม มีส่วนตัดสินใจ FreeYouth จึงอยู่ในฐานะคนเปิด คนนัดชุมนุม การจะทำอะไรเขามักจะฟังเสียงสะท้อนเสมอ เช่น มีการทำโพล หรือ มอนิเตอร์คนในโซเชียล กรณีม็อบ 7 สิงหาก็เช่นกัน เขาฟังกระแสโซเชียล จึงหันหัวกลับจากจะไปวังเพราะต้องการเซฟคนไปร่วม อันนี้ชัดเจน ต้องชมเขาจุดนี้ เพราะในแง่เนื้อหา ม็อบต้องไปคุยกับสถาบันกษัตริย์ที่วังซึ่งเป็นสัญญะทางกายภาพของเขาเพราะนั่นคือแก่นของปัญหาการเมืองและปัญหาโควิด เมื่อการประกาศไปวังถูกพูดถึง และอภิปรายกันแล้วในแง่เนื้อหาว่าทำไมต้องไป “การแกง” จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในวันนั้น แน่นอนว่าเขาในฐานะคนชวนคนไป เขาฟังเสียงทักท้วงเรื่องความปลอดภัยจากทุกคน
2. การจัดการม็อบวันที่ 7 สิงหา มีทั้งรถเครื่องเสียงในขบวน ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก คลับเฮาท์ เป็นการจัดการที่ทุ่มสรรพกำลังพอสมควร แต่เราต้องเข้าใจธรรมชาติของม็อบด้วยว่ามันไม่ใช่เดินขบวนพาเหรด ม็อบเราตอนนี้มันขยับเพดานเป็นการประท้วงรัฐแล้ว และรัฐก็ใช้ความรุนแรงกับเราอย่างเปิดเผยแล้ว จริงอยู่ว่ามันมีข้อบกพร่องหลายจุด แต่หลายจุดนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขหน้างาน และนอกจากทีมจัดจะสื่อสารอย่างเต็มที่แล้ว คนที่ไปร่วมชุมนุมก็ช่วยกันสื่อสารอย่างเต็มแล้ว ที่สำคัญ คนในโลกโซเชียลก็ช่วยกันทำหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นกัน FreeYouth และกลุ่มอื่นๆที่จัดก็พยายามทำหน้าที่จัดการส่วนนี้พอสมควร ในส่วนการจัดการสื่อสารกับม็อบผมว่าเขาสอบผ่าน แต่ส่วนที่ยังต้องแก้ไขคือการสื่อสารกับมวลชนในโซเชียล ซึ่งอันนี้เข้าใจได้ทั้งสองฝ่าย อยากให้กองทัพโซเชียลเห็นใจเพื่อนในจุดนี้ด้วย ว่าหน้างานเขาจำเป็นต้องสื่อสารกับคนหน้างานเป็นหลัก การแลกเปลี่ยนในโซเชียลเป็นเรื่องรอง แต่ส่วนที่เขายังทำได้ไม่สมบูรณ์คือ การจัดสมดุลการแลกเปลี่ยนในโลกโซเชียล อันนี้วิพากษ์กันได้
3. เรื่องทิ้งมวลชน ขายมวลชน อันนี้ยืนยันว่าไม่มี ทีมจัดเกือบทุกคนโดนคดี และอยู่หน้างานตลอด เพียงแค่เขาไม่แสดงตัวเท่านั้น จะแสดงตัวเฉพาะคนที่จำเป็น เช่น คนนำขบวน คนปราศรัย ซึ่งต้องไม่ใช่คนที่ภาพเป็นแกนนำ หรือถ้าจำเป็นภาพต้องไม่ให้ภาพกลายเป็นคนสั่งการ ทุกคนในหน้างานมีหน้าที่เท่ากันหมด ฟังเสียงคนร่วม และวิเคราะห์จะชน หรือถอยร่วมกัน เพราะม็อบเป็นของทุกคน และทุกคนมีโอกาสเจ็บ โอกาสถูกจับเท่ากัน
4. ข้อเรียกร้องของม็อบมันชัดเจนแล้ว และถูกอภิปรายในโลกโซเชียลอย่างตกผลึกแล้ว ม็อบจึงเป็นขั้นตอนการยืนยันให้ภาพชัดเจนขึ้นในแง่กายภาพเท่านั้น และถ้าถามว่าสู้แบบนี้เมื่อไหร่จะชนะ ก็ต้องบอกว่ามันต้องใช้เวลา จริงๆ ชัยชนะรายทางของเราก็มีไม่น้อย ตั้งแต่การทำลายเพดานการพูดถึงสถาบันกษัตริย์ลงอย่างราบคาบ การผลักดันให้ สส.มีความกล้า(ยิ่งขึ้น)ในการพูดเรื่องสถาบันฯในสภา การกดดันให้เกิดกระแสแก้รัฐธรรมนูญ การกดดันให้ลดงบทหาร งบสถาบันถูกตรวจสอบมากขึ้น การกดดันให้ทหารเปิดค่ายเป็นโรงบาลสนาม หรือการได้วัคซีนดีๆเข้ามาบ้าง ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้มันต้องค่อย ๆ นวดไป อย่าลืมว่ากระแสคนรุ่นใหม่มันเพิ่งขึ้นมาแต่ปีเดียว เท่านี้ก็นับว่ามาไกลมากแล้ว ถ้าเราบอกว่าเราไม่ชนะหรอก หรือคิดว่าสู้แล้ววนที่เดิมแล้วถอดใจทิ้งขบวนไป นั่นต่างหากที่น่าเสียดาย เพราะชัยชนะมันมองเห็นอยู่ เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้นเอง
5. สิ่งที่ต้องตระหนักคือ รัฐต้องการใช้ความรุนแรงกับเรา กดเราไม่ให้โงหัวขึ้นเท่าเทียมกันกับเขา ทุกกิจกรรมต่อจากนี้จะถูกจัดการอย่างป่าเถื่อนจากรัฐ ทุกอย่างต้องแหลมคมมากขึ้น ขบวนนี้ต้องการความสามัคคีพอๆกับการวิพากษ์กันอย่างตรงไปตรงมา คนด่านหน้าต้องรับฟังและปรับปรุงให้ดีขึ้น คนด่านหลังก็ต้องวิพากษ์ฉันมิตร และต้องพูดกันตรงๆอย่างที่ทำช่วงนี้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่เติมฉันมิตรเข้าไปหน่อย
6. สุดท้ายอยากให้กำลัง FreeYouth ที่รับหน้างานทั้งในม็อบและโลกโซเชียล ขอให้ทุกคนหนักแน่นและเปิดใจรับฟังทุกเสียงที่วิพากษ์กันอย่างตรงไปตรงมา อย่าท้อกับความผิดพลาดรายทางจนหลงลืมที่จะแก้ไขมัน ทำมันให้ดีขึ้นกว่าทุกวัน เชื่อว่าทุกคนในขบวนหวังดีต่อกัน ก้าวต่อไปด้วยแรงใจสู่ชัยชนะของพวกเราอย่างแท้จริง
ขณะที่ในทวิตเตอร์ ได้มีกลุ่มมวลชนพากันติด #แบนFreeYouth อีกรอบ และวิจารณ์ถึงเรื่องที่พวกแกนนำชอบแกงม็อบ ย้ายสถานที่แบบกะทันหัน พามวลชนไปเจ็บตัว เรียกร้องประชาธิปไตย แต่มีความรุนแรง แกนนำต้องหัดยอมรับคำวิจารณ์บ้าง สู้แบบนี้ไม่ชนะซะที เพราะว่าเอาแต่ความคิดตัวเอง อย่าลืมว่าจะล้มระบอบประยุทธ์ได้ ก็ต้องพึ่งพากำลังมวลชนทั้งนั้น และยังมีประเด็นที่ทนายอานนท์ ชี้แจงว่า แกนนำหรือคนที่ขับเคลื่อนม็อบ ล้วนมีคดี แต่ไม่อยากเปิดหน้าออกมาสู้ เลยมีมวลชนย้อนถามกลับว่า แล้วไม่เซฟพวกคนที่ไปชุมนุมบ้างหรอ แบบนี้ไม่น่าจะใช่แล้ว