ดร.นิวเล่า “เพื่อนสิงคโปร์” มองทะลุ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ศูนย์รวมใจ หากใครอยากทำลายไทย จึงทำลายสถาบันฯก่อน!?

1884

ดร.นิวเล่า “เพื่อนสิงคโปร์” มองทะลุ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ศูนย์รวมใจ หากใครอยากทำลายไทย จึงทำลายสถาบันฯก่อน

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีทางออกของชาติ คือ การสร้างประชาธิปไตย โดยระบุขข้อความว่า

ปัญหาของประเทศไทย คือ ปัญหาประชาธิปไตย ไม่ใช่ปัญหารูปแบบของรัฐ ไม่ว่าราชอาณาจักรหรือสาธารณรัฐก็เป็นเผด็จการอยู่ดี หากไม่สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ ทั้งวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด และความอ่อนแอด้านความมั่นคงของรัฐบาล เปิดโอกาสให้ขบวนการสาธารณรัฐเข้าครองพื้นที่โซเชียลมีเดีย แล้วฉวยโอกาสยุยงปลุกปั่นสร้างความแตกแยก ชี้นำไปสู่ความรุนแรงและสงครามกลางเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮชแท็ก ล้มล้างราชวงศ์… ที่ได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้อเสนอของขบวนการสาธารณรัฐทั้งในและนอกรัฐสภา จากทั้งในประเทศและนอกประเทศ ภายใต้การสนับสนุนของรัฐต่างชาติเพื่อแทรกแซงความมั่นคงแห่งรัฐ จึงไม่ได้สร้างประชาธิปไตย หากแต่นำเสนอความรุนแรงและสงครามกลางเมือง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนความมั่นคงแห่งชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องร่วมกันสร้างประชาธิปไตย และนำอำนาจอธิปไตยของปวงชนอันแท้จริงมาแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพื่อยุติปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และยุติสงครามกลางเมืองที่กำลังพัฒนาขึ้นมาจากการปั่นกระแสบิดเบือนในโซเชียลมีเดีย โดยมีขบวนการสาธารณรัฐอยู่เบื้องหลัง
การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบเผด็จการอีกรูปหนึ่ง ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย และไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน
คณะราษฎรจึงไม่ต่างจากคณะโจร เป็นคณาธิปไตยที่ปล้นพระราชอำนาจจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งย่อมเท่ากับการช่วงชิงอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปเป็นของคนส่วนน้อย ทำให้อำนาจอธิปไตยรวมศูนย์อยู่ที่คณะปกครอง นับตั้งแต่คณะราษฎรเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นเวลาเกือบ 90 ปี ที่ผ่านมา เราจึงไม่เคยมีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น เพราะอำนาจอธิปไตยไม่เคยถ่ายโอนมาถึงมือของประชาชน และอำนาจอธิปไตยยังคงรวมศูนย์อยู่ในกำมือของคณะปกครองมาโดยตลอด เป็นระบอบเผด็จการตัวจริงที่มีอำนาจล้นฟ้าของบรรดานักธุรกิจการเมือง ซึ่งคอยตักตวงทรัพย์สมบัติของชาติและประชาชนไปเป็นของคนส่วนน้อย แล้วพลอยทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติไปด้วย
ทางออกเดียวของประชาชน จึงหนีไม่พ้นการสร้างประชาธิปไตย เช่นเดียวกัน ทางออกเดียวของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะหลุดพ้นจากข้อครหาอันละเอียดอ่อนทั้งปวง คือ การช่วยเหลือประชาชนในการคลี่คลายวิกฤตปัญหาและสร้างประชาธิปไตย ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง
เมื่ออำนาจอธิปไตยไม่เคยมาถึงมือของประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์เองก็ทรงสละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ออกมาจนกลายเป็นรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมีแต่มหาประชามติของประชาชนไปสู่ราชประชาสมาสัยเท่านั้น ประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะสามารถร่วมกันสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงได้เป็นผลสำเร็จ ของ(อำนาจอธิปไตย) ที่ถูกโจร(คณะราษฎร) ปล้นไปนานเกือบ 90 ปี จึงควรกลับคืนสู่เจ้าของเดิม(สถาบันพระมหากษัตริย์) เพื่อที่เจ้าของเดิม(สถาบันพระมหากษัตริย์) จะได้ส่งมอบให้กับเจ้าของใหม่(ประชาชน) อย่างถูกต้องโดยชอบธรรม
28 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
1 สิทธิ์ 1 เสียง รวมเป็น ประชามติ
น้อมถวายองค์พระมหากษัตริย์
สร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ
#ปลุกอำนาจสถาปนาประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ เพื่อสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องและเป็นธรรม
ล่าสุดวันนี้ (27 กรกรฎาคม 2564) ดร.นิวได้โพสต์ข้อความขบวนการที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันฯ โดยระบุว่า
“สถาบันพระมหากษัตริย์คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยซึ่งเป็นลักษณะพิเศษอันหาได้ยากยิ่ง ลองคิดดูนะ กว่าประเทศอื่นจะรวมผู้คนให้สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ประเทศไทยสามารถทำได้แค่ในชั่วพริบตา เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน ดังนั้นถ้าหากมีใครต้องการทำลายประเทศไทย หรือแทรกแซงประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่แปลกที่เขาต้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์”
ยองเจีย เพื่อนชาวสิงคโปร์เคยกล่าวกับผมเมื่อหลายปีก่อน