จีนโต้เดือดให้สหรัฐฯหยุดใส่ร้ายเรื่องซินเจียง-ข่มขู่นักลงทุนต่างชาติ!?! ขณะวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกม. เล็งคว่ำบาตรให้เศรษฐกิจพัง

1347

พระราชบัญญัติป้องกันการใช้แรงงานบังคับของอุยกูร์ ได้ตั้งข้อสันนิษฐานที่สามารถโต้แย้งได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่สมเหตุผลนอกจากการสร้างข่าวข้างเดียวของสหรัฐฯ และร่างกฎหมายฉบับนี้ยังต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรก่อนจึงจะสามารถส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อให้ปธน.โจ ไบเดนลงนามในกฎหมายให้มีผลปฎิบัติได้ ก็เป็นเพียงยื้อเวลาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการบีบจีน ตามนโยบายของสหรัฐที่ประกาศโดยปธน.ไบเดน ชัดเจนว่าจะยึดประเด็น “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”ในซินเจียงและฮ่องกงเป็นสาระในการปิดล้อมจีน โดยอาศัยพันธมิตรตะวันตก ทั้งอังกฤษ แคนาดาและบางส่วนในยุโรป รุมบีบจีนให้เศรษฐกิจพัง จับตาจีนแก้เกมสามานย์นี้อย่างไร?

วันที่ 15 ก.ค.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐผ่านกฎหมายเมื่อวันพุธที่ 14 ก.ค.2564 ห้ามการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากจีน ซินเจียง ภูมิภาคซึ่งเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของวอชิงตัน  ในการลงโทษปักกิ่งสำหรับสิ่งที่เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่องกับชาวอุยกูร์และกลุ่มมุสลิมอื่นๆในประเทศจีน จากการรายงานของสหรัฐฝ่ายเดียว

พระราชบัญญัติป้องกันการใช้แรงงานบังคับของอุยกูร์จะสร้าง “ข้อสันนิษฐานที่โต้แย้งได้” โดยถือว่าสินค้าที่ผลิตใน ซินเจียง กำลัง ทำด้วยแรงงานบังคับ และถูกสั่งห้ามภายใต้กฎหมายภาษีศุลกากรปี พ.ศ. 2473 เว้นแต่จะได้รับการรับรองจากทางการสหรัฐเป็นอย่างอื่น

ร่างพระราชบัญญัติจะต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรก่อนจึงจะสามารถส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อให้ประธานาธิบดีโจไบเดนลงนามในกฎหมายได้ ไม่ชัดเจนในทันทีว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

มาร์โก รูบิโอ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งเสนอกฎหมายกับเจฟฟ์ แมร์คลีย์ พรรคเดโมเครต เรียกร้องให้สภาดำเนินการอย่างรวดเร็ว

เมอร์คลีย์กล่าวว่า“ไม่มีบริษัทอเมริกันใดควรได้กำไรจากการละเมิดเหล่านี้ ไม่มีผู้บริโภคชาวอเมริกันคนไหนที่ควรซื้อผลิตภัณฑ์จากแรงงานทาสโดยไม่ได้ตั้งใจ” พวกเขาคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งในสภา โดยสังเกตว่าสภาได้อนุมัติมาตรการที่คล้ายกันเกือบเป็นเอกฉันท์เมื่อปีที่แล้ว

ร่างกฎหมายนี้จะไปไกลกว่าขั้นตอนที่ดำเนินการไปแล้วเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ เมื่อต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิในจีน ซึ่งรวมถึงคำสั่งห้ามมะเขือเทศซินเจียง ฝ้าย และผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์บางชนิด ฝ่ายบริหารของไบเดนได้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตร และเมื่อวันอังคาร (14) ได้ออกประกาศเตือนธุรกิจที่พวกเขาอาจละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯ หากการดำเนินการเชื่อมโยงกับเครือข่ายเฝ้าระวังในซินเจียงทางอ้อม

กลุ่มสิทธิ นักวิจัย และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีนในอุยกูร์ ตลอดจนสมาชิกสภานิติบัญญัติและเจ้าหน้าที่ชาวตะวันตกบางคนประสานเสียงว่า  ทางการซินเจียงได้ทำการบังคับใช้แรงงานด้วยการกักขังชาวอุยกูร์ราวหนึ่งล้านคนและชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2559 โดยไม่ยอมรับการเดินทางเยี่ยมเยียนจากนานาชาติไปยังซินเจียงต่อเนื่อง โดยหาว่าจัดฉาก

ก่อนหน้าวุฒิสภาผ่านร่างกม.บีบจีนเรื่องซินเจีย เมื่อวันที่ 13 ก.ค. กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯยกระดับคำเตือนบริษัทต่างๆในสหรัฐฯที่ทำธุรกิจในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ของจีนว่า อาจมีความเสี่ยงห่วงโซ่การจัดส่งสินค้าบริการและการบริการที่อาจบังคับใช้ แรงงานและละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งขัดต่อกฎหมายสหรัฐฯ 

วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯยังเตรียมเตือนบริษัทต่างๆว่าอาจเพิ่มระดับความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจที่ฮ่องกง เพราะอาจเผชิญภัยคุกคามกับขีดความสามารถของจีนที่จะเข้าถึงข้อมูลที่บริษัทต่างชาติมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง ทั้งมีรายงานเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับจีนในช่วงสัปดาห์นี้กับการปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามข้อกล่าวหาในเขตปกครองตนเองซินเจียง

ขณะที่นายจ้าว หลี่เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนไม่รอช้าโต้กลับทันทีว่า การกระทำของสหรัฐฯเป็นการโจมตีทางการเมืองและสองมาตรฐาน ทั้งเรื่องชาวอุยกูร์ในซินเจียง และด้านสิทธิของนักลงทุนต่างชาติในฮ่องกงต่างได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

ขณะที่ปธน.สี จิ้นผิง ได้โทรศัพท์พูดคุยกับปธน.ตอยยิบ แอร์โดกัน(Tayyip Erdogan) แห่งตุรกีเกี่ยวกับประเด็นชาวอุยกูร์ ด้านตุรกีระบุว่าให้ความสำคัญกับการมีชีวิตอยู่อย่างสันติและรุ่งเรืองของชาวอุยกูร์ในจีน ขณะเดียวกัน ตุรกีก็เคารพในอธิปไตยแห่งชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน นอกจากนี้ ตุรกีและจีนมีศักยภาพที่จะกระชับความสัมพันธ์ร่วมกันทั้งด้านเศรษฐกิจและการทูต โดยได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในประเด็นพลังงาน การค้า การคมนาคม และสาธารณสุข 

ตุรกีและจีนบรรลุข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนเมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้ชาวอุยกูร์ในตุรกีที่มีประมาณ 40,000 คนไม่พอใจเนื่องจากเกรงว่าจะนำไปสู่การส่งตัวกลับจีน