โหรการเมืองฟันธง!!! ยุบสภาช้าสุดต้นปี65 ชี้อาจไม่มีพปชร.แล้ว?? อดีต2นายกฯโผล่ถี่ พบเตรียมทุนลต.ใหม่
จากกรณีที่มีกระแสการยุบสภาผู้แทนราษฎร ถ้าหากพระราชกำหนดเกี่ยวกับการกู้เงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ส่วนใหญ่ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก
ล่าสุดวันนี้ (9 มิถุนายน 25464) นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ฟันธง
หากประเมินจากเสียงสะท้อนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในขณะนี้จะสัมผัสได้ถึงเสียงของความไม่พอใจที่ดังก้องมาจากทั่วสารทิศ คล้ายสัญญาณว่าปลายทางใกล้มาถึงหรือใกล้ได้เวลายุบสภาเต็มทีแล้ว แม้ว่าจะไม่อยากยุบเพราะยังสามารถกุมกลไกต่างๆในสภาได้อย่างครบถ้วนรวมถึง ส.ว. ที่แทบจะชี้เป็นชี้ตายกฎหมายสำคัญต่างๆในสภาได้ แต่หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นรอยร้าวขนาดใหญ่ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 65 วาระแรกจะโหวตผ่านกันพรึ่บ แต่ในการอภิปรายก็ทิ่มกันเองอย่างถึงพริกถึงขิงยิ่งกว่าฝ่ายค้าน โดยเฉพาะความผิดพลาดในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19 ที่ต่างโยนเรื่องอำนาจรับผิดชอบกันไปมา ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน
“จะขอสวมวิญญาณหมอดูทำนายชะตาบ้านเมืองสักหน่อย หลังจากนี้คิดว่าคงเข้าสู่ช่วงที่ค่ายพรรคต่างๆเตรียมความพร้อมสู่การยุบสภาเต็มตัว รัฐบาลเองก็หวังใช้การเลือกตั้งมารีแบรนดิ้งปรับภาพลักษณ์เสียใหม่ ในครั้งหน้าจึงอาจไม่มีพรรคชื่อพลังประชารัฐอีกแล้วก็ได้ เพราะแว่วๆมาว่ากำลังมีพรรคใหม่รอเกิดขึ้นอยู่ ช่วงนี้สิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นจึงได้เห็น อย่างการขอโทษของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่าอะไรที่ทุกคนไม่สบายใจก็ขอโทษละกัน ก็จะทำให้ดีที่สุด ก็คือการลดท่าทีแข็งกร้าวจากปกติลงอย่างชัดเจนเพื่อลดความไม่พอใจของประชาชนในช่วงนี้ นอกจากนี้ ยังแว่วๆมาอีกว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคใหม่ เป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า บุคคลนี้ถึงแม้ว่าจะมีแต่ข่าวในทางลบ แต่เป็นที่รู้กันดีเรื่องบารมีและการคุมฐานเสียงอัดฉีดพื้นที่ อย่างน้อยที่สุดภาคใต้ในพื้นที่เดิมของประชาธิปัตย์จะเป็นพื้นที่ช่วงชิงของกลุ่มทุนหนา ไม่ปล่อยให้บารมีอำนาจต่อรองคว้ากระทรวงสำคัญไปอีก”
ยังเห็นสัญญาณของการสะสมทุนที่ชัดขึ้นอย่างที่เคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วเรื่องยาเสพติดล็อตใหญ่ที่กระจายไปในหลายประเทศและถูกจับได้ในช่วงนี้ เรื่องนี้ดูจะกลายเป็นเรื่องเล็กมากในรัฐบาลเหมือนไม่ใจจะแก้ปัญหาเลย ต้องถามว่าเม็ดเงินตรงนี้เข้ากระเป๋าใครและจะเป็นกระสุนดินดำเพื่อการเตรียมเลือกตั้งหรือไม่ เพราะคาดว่าการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้นเร็วๆนี้เงินจะสะพัดที่สุด ส่วนกรรมการผู้คุมกติกาอย่าง กกต. คงไม่ต้องพูดถึงเพราะรู้กันดีว่าทำงานเข้าตาใครบ้าง หรือหากมองไปที่ความเคลื่อนไหวอื่นๆ ก็จะเริ่มมองเห็นการเปิดตัวพรรคใหม่อย่างเป็นทางการของคุณหญิงสุดารัตน์ การขยับหา ส.ส. หน้าใหม่แทนบรรดางูเห่าของพรรคก้าวไกล การเร่งเกมส์เต็มที่ของพรรคกล้าและพรรคเพื่อไทย ที่อดีตนายกฯสองพี่น้องเริ่มขยับลงมาเล่นเองในพื้นที่สื่อ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณว่าบรรดานักเลือกตั้งเริ่มได้กลิ่นยุบสภาแล้วอย่างแน่นอน คิดว่าอย่างช้าที่สุดไม่เกินต้นปีหน้า
ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างเร่งตุนคะแนนเสียงแบบนี้ ใครจะใช้วิธีไหนหาคะแนนเสียงก็ว่ากันไป แต่ที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการนำเอาวัคซีนมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างฐานเสียง เพราะในขณะที่สองพรรคใหญ่ในฝั่งรัฐบาลต่างโยนผิดกันไปมา มีสิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายรู้สึกกังขาว่าอาจจะมีการกันโควต้าวัคซีนให้ฝ่ายการเมืองผ่านเครือข่ายอำนาจหน้าที่ของตนหรือไม่ อย่างเช่นที่มีการเปิดสายด่วนให้จองผ่าน ส.ส.พร้อมภาพคนใหญ่คนโตในพรรค หรือข่าวที่ว่าบางจังหวัดได้วัคซีนมากกว่าอีกจังหวัดทั้งที่จังหวัดนั้นระดับสีเข้มข้นกว่า แต่จังหวัดที่ได้มากเป็นพื้นที่ของรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้จึงไม่ควรปล่อยผ่าน จำเป็นต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการกระจายวัคซีนออกมาให้ชัดเจน ว่าไปที่ไหน ไปตามจังหวัดฐานเสียงตัวเองหรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่มีการต่อสู้กันรุนแรง อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปมาเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ถ้าจะถึงขั้นเอาชีวิตของประชาชนมาใช้ประโยชน์ ก็อยากฝากไว้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง