การประมูลรถไฟทางคู่สายใหม่ (เหนือ-อีสาน) จำนวน 2 เส้นทาง 5 สัญญามูลค่า 1.28 แสนล้านบาทของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่ายว่าอาจมี การสมยอมราคา หรือ ฮั้วประมูลโดยไม่ก่อให้เกิดการแข่งขัน เพราะนอกจากมีบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่เพียง 5 รายสามารถนำผลงานขอยื่นประกวดราคาได้แล้ว ยังพบพิรุธผลประกวดราคาวิธี อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding โครงการแรกทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตรมูลค่า 72,920 ล้านบาทเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทั้ง 3 สัญญาผู้เสนอราคาตํ่าสุดราคาใกล้เคียงราคากลางแทบทั้งสิ้น ทางคู่สายอีสาน สายบ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 355 กม.วงเงิน 66,848 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2564 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ทั้งหมด 2 สัญญา
กรณีการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือ-สายอิสานได้ผู้ชนะเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางแค่ฉิวเฉียด เกิดเสียงครหาระงมว่า “แบบนี้มีการฮั้วกันหรือไม่?” โดยสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.)ออกแถลงการณ์ระบุว่า การดำเนินโครงการนี้ส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใส เป็นการล๊อคสเปก ฮั้วประมูลหรือไม่?
ในการนี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้เชี่ยวชาญระบบการจราจรและคมนาคมขนส่งมหภาค ที่ติดตามงานด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกต์ของไทยอย่างเกาะติดมาโดยตลอด ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวแสดงความกังวล ท้วงติงเรื่องเกณฑ์ประมูลที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร? เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำลังใช้อยู่ เพื่อให้รัฐฯได้ประโยชน์สูงสุด มีรายละเอียดน่าคิดดังต่อไปนี้
“น่ากังขา? ประมูลรถไฟทางคู่
สายเหนือ-สายอีสาน
เฉียดฉิวราคากลาง”
เป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อเร็วๆ นี้ กรณีผู้ชนะการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเพียงเฉียดฉิวแค่ 0.08% เท่านั้น ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ว่ามีการฮั้วประมูลกันหรือไม่? ทำอย่างไรจึงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก?
การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตร แบ่งการประมูลออกเป็น 3 สัญญา โดยมีราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 24,306 ล้านบาท ราคาที่ประมูลได้เฉลี่ยสัญญาละ 24,286 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยเพียงสัญญาละ 20 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% นับว่าราคาที่ประมูลได้ใกล้เคียงกับราคากลางมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 มีการประมูลรถไฟทางคู่สายอีสานช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร แบ่งการประมูลออกเป็น 2 สัญญา โดยมีราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 27,728 ล้านบาท ปรากฏว่าราคาที่ประมูลได้เฉลี่ยสัญญาละ 27,705 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยเพียงสัญญาละ 23 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% นับว่าราคาที่ประมูลได้ใกล้เคียงกับราคากลางมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เมื่อย้อนดูการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ช่วงนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 420 กิโลเมตร ในปี 2560 เดิมการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แบ่งการประมูลออกเป็น 3 สัญญา โดยมีราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 12,007 ล้านบาท แต่ผมได้ทักท้วงว่าหากราคากลางสูงอย่างนี้ จะปิดกั้นโอกาสไม่ให้ผู้รับเหมาขนาดกลางเข้าร่วมประมูลได้ เนื่องจากทีโออาร์กำหนดประสบการณ์ของผู้รับเหมาที่สามารถเข้าร่วมประมูลได้เป็นสัดส่วนตามมูลค่าโครงการ หากโครงการมีมูลค่าสูงก็จะทำให้ผู้รับเหมาที่จะสามารถเข้าร่วมประมูลได้ต้องเคยผ่านงานที่มีมูลค่าสูง นั่นก็คือผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ราย อาจทำให้ไม่เกิดการแข่งขันกันอย่างจริงจัง
อีกทั้ง ผมได้เสนอแนะให้ร.ฟ.ท. เขียนข้อกำหนดของผู้ว่าจ้างหรือทีโออาร์แบบเปิดกว้าง โดยไม่ล็อกสเปกให้ผู้รับเหมารายใดรายหนึ่ง และที่สำคัญ ควรเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้ด้วย
ในที่สุด ร.ฟ.ท. ได้ยกเลิกการประมูลครั้งนั้น และได้เปิดประมูลใหม่ โดยแบ่งสัญญาเพิ่มเป็น 5 สัญญา มีราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 7,204 ล้านบาท ซึ่งต่ำลงจากเดิมที่มีราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 12,007 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าร่วมประมูลได้ด้วย จึงมีการแข่งขันกันมากกว่าการให้เฉพาะผู้รับเหมาขนาดใหญ่เข้าร่วมประมูลเท่านั้น ผลการประมูลพบว่าราคาที่ประมูลได้เฉลี่ยสัญญาละ 6,796 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยสัญญาละ 408 ล้านบาท คิดเป็น 5.66%
เมื่อเปรียบเทียบการประมูลรถไฟทางคู่ระหว่างสายใต้กับสายเหนือและสายอีสาน พบว่าสายใต้ได้ราคาจากการประมูลต่ำกว่าราคากลางมากกว่าสายเหนือและสายอีสาน กล่าวคือสายใต้ได้ราคาจากการประมูลต่ำกว่าราคากลาง 5.66% ในขณะที่สายเหนือและสายอีสานได้ราคาต่ำกว่าราคากลาง 0.08% เท่ากัน
ด้วยเหตุนี้ จึงสรุปได้ว่าการแบ่งสัญญาการก่อสร้างออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา จะทำให้ราคากลางต่ำลง เมื่อราคากลางต่ำลง ผู้รับเหมาขนาดกลางก็จะสามารถเข้าร่วมประมูลได้ด้วย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น ราคาที่ได้จากการประมูลก็จะต่ำกว่าราคากลางมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี
เห็นอย่างนี้แล้ว หาก ร.ฟ.ท. ต้องการประหยัดงบประมาณ ก็น่าจะรู้ว่าควรทำอย่างไรกับการประมูลโครงรถไฟทางคู่ในอนาคต