รัสเซีย ประกาศกร้าวว่า สหรัฐ “ต้องชดใช้อย่างสาสม”และการตอบโต้กลับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างชัดเจนของ สหรัฐหลังไบเดนประกาศคว่ำบาตรรัสเซียและขับไล่ทูตรัสเซียออกจากประเทศ โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ลงนามในคำสั่งบริหารขับไล่นักการทูตรัสเซีย 10 คนลงโทษบุคคลและองค์กรรัสเซียมากกว่า 30 คนและห้าม บริษัท อเมริกันซื้อหุ้นและพันธบัตรโดยตรงของประเทศรัสเซีย
มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย ประกาศกร้าวว่า สหรัฐ “ต้องชดใช้อย่างสาสม” จากการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรรัสเซียและขับไล่ทูตรัสเซียออกจากประเทศ
“เราไม่อาจยอมรับพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเช่นนี้ และการตอบโต้การคว่ำบาตรเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สหรัฐต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด” โฆษกกระทรวงต่างประเทศของรัสเซียกล่าว พร้อมกับระบุว่า นายจอห์น ซัลลิแวน เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำรัสเซีย ถูกเรียกตัวมาคุยที่กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย
“เราเตือนสหรัฐครั้งแล้วครั้งเล่าถึงผลพวงของการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันระดับการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศ” เธอกล่าว “ในการพูดคุยทางโทรศัพท์กับท่านประธานาธิบดีรัสเซียครั้งหนึ่ง นายโจ ไบเดน ได้แสดงความสนใจที่จะทำให้ความสัมพันธ์รัสเซีย-สหรัฐ กลับสู่ภาวะปกติ แต่การกระทำของรัฐบาลสหรัฐกลับตรงกันข้าม”
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรรัสเซียในวันพฤหัสบดีที่ 15 เม.ย.2564 พร้อมกับขับไล่ทูตรัสเซีย 10 คนออกจากประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้รัสเซียที่แทรกแซงการเลือกตั้งสมัยอดีตปธน.ทรัมป์และแฮกข้อมูลของสหรัฐ
สหรัฐฯอ้างว่าประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การโจมตีทางไซเบอร์ต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์กว่า 18,000 เครือข่าย เพื่อจารกรรมข้อมูลความลับของรัฐบาลและเอกชนสหรัฐฯ รวมถึงการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ พ.ย.2563 เพื่อช่วยอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง โดยมาตรการจะครอบคลุมทั้งการคว่ำบาตรองค์กรของรัสเซีย 30 แห่ง การขับนักการทูตรัสเซียอย่างน้อย 10 ราย รวมทั้งการห้ามสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ซื้อพันธบัตรที่ใช้สกุลเงินรูเบิลจากรัสเซียตั้งแต่ มิ.ย.2564 ทั้งนี้ เป็นการคว่ำบาตรครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกเมื่อ มี.ค.2564
ในคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีของ ปธน.ไบเดนจากพรรคเดโมแครตขยายข้อจำกัดต่างๆ ที่มีต่อบรรดาสถาบันการเงินของสหรัฐฯที่ทำธุรกรรมซื้อชายหนี้สาธารณะของรัสเซีย ขับไล่ผู้แทนทุต 10 คนซึ่งกล่าวหาว่าเป็นสายลับ และคว่ำบาตรบุคคลต่างๆ 32 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020
ต่อมาประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงตบหัวแล้วลูบหลัง บอกถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองประเทศต้องหาทางลดความตึงเครียด ขณะที่มอสโกกร้าวเตรียมออกมาตรการตอบโต้และชี้ว่า อะไรจะเกิดเป็นสิ่งที่สหรัฐต้องรับผิดชอบ
ในขณะที่ปธน.ไบเดนเผยว่า ระหว่างพูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ เขาพูดกับประธานาธิบดีปูตินอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ และรัสเซียไม่ควรถลำลึกไปมากกว่านี้ พร้อมบอกว่าวอชิงตันไม่ได้กำลังหาทางเริ่มวงจรความขัดแย้งและขยายสถานการณ์ให้ลุกลามบานปลายกับรัสเซีย แต่คำพูดและการกระทำมันย้อนแย้งกันอย่างชัดเจน โดยสหรัฐไม่ละอายที่จะโกหกคำโตและปลิ้นปล้อนต่อไป
นอกจากนี้แล้ว ไบเดน เผยด้วยว่า เขาได้คัดค้าน ปูติน ต่อการที่รัสเซียรุกรานพื้นที่บางส่วนของมอสโก และเวลานี้กำลังระดมกำลังทหารอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของชายแดน “ผมเน้นย้ำว่า สหรัฐฯ สนับสนุนอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน และผมได้เรียกร้องเขาอย่างหนักแน่น ให้อดทนอดกลั้นจากปฏิบัติการทางทหารใดๆ”
มาตรการคว่ำบาตรถูกออกแบบมาเพื่อก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย ทำให้มอสโกระดมเงินในตลาดระหว่างประเทศยากยิ่งขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนเป็นต้นไป สถาบันการเงินต่างๆ ของสหรัฐฯ จะถูกห้ามซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรงจากธนาคารกลางรัสเซีย กระทรวงการคลังหรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ
ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซีย หรือ SVR เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่ทาง SVR ตอบโต้กลับ โดยบอกว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว “ไร้สาระสิ้นดี”ถ้อยแถลงของทำเนียบขาวยังโวยวายรัสเซีย ที่เล็งเป้าเล่นงานผู้เห็นต่างและบรรดาสื่อมวลชนในแผ่นดินของต่างประเทศ แต่ไม่พูดถึงบทบาทของหน่วยข่าวกรองและ รัฐบาลสหรัฐที่แทรกแซงไปทั่วโลก
อีกด้านหนึ่งทางกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ร่วมด้วยออสเตรเลีย สหราชอาณาจักรและแคนาดา ได้คว่ำบาตรบุคคล 8 รายและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้ายึดครองไครเมียของรัสเซีย
ในบรัสเซลส์ พันธมิตรทหารนาโต บอกว่า เหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ “สนับสนุนและยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกับอเมริกา” ต่อท่าทีที่เป็นปรปักษ์อย่างไม่หยุดหย่อนของรัสเซีย ขณะที่สหภาพยุโรปก็ออกถ้อยแถลงแสดงความเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับสหัฐฯเช่นกัน ในผลกระทบจากการถูกโจมตีประสงค์ร้ายทางไซเบอร์ โดยกระทรวงการต่างประเทสสหราชอาณาจักร เรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำลอนดอนเข้าพบ เพื่อแสดงความคว่ำครวญเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเจตนาร้ายของมอสโก
สรุปว่าสหรัฐและพันธมิตรตะวันตก รวมหัวกดดัน-คว่ำบาตรมอสโกอย่างชัดเจน ไม่ต่างกับท่าทีที่มีต่อจีนและอิหร่าน วันหนึ่งเชื้อเชิญมากระชับไมตรีแต่อีกวันหนึ่งคว่ำบาตรโจมตีสาดเสียเทเสีย สะท้อนธาตุแท้อเมริกันที่ยึดถือความต้องการตนเองเป็นใหญ่ ใครไม่สยบจะถูกตราหน้าและกดดัน!