จากกรณีที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรค ก.ก.ว่า พรรค ก.ก.สนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.เป็นแคนดิเดตนายกฯ แน่นอน จากการประเมินสถานการณ์ขณะนี้ เราเชื่อมั่นว่า นายพิธา สามารถสู้กับแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองอื่นได้ และเราคาดว่าคะแนนจากการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้คะแนนมากกว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้เสียง 6.3 ล้านเสียง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่คือกลุ่มชาวนา เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย พรรค ก.ก. จะปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้อย่างไร นายณัฐชากล่าวว่า พรรค ก.ก. มีนโยบายด้านภาคการเกษตร เพราะเราทราบว่า คนกลุ่มนี้คือคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่จึงเป็นจุดแข็งของนายพิธา ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยีการเกษตร และการพัฒนาศักยภาพของผลิตภัณฑ์การเกษตรด้วย นอกจากนี้ ในสมัยพรรคอนาคตใหม่ นายพิธาก็เคยโชว์ศักยภาพและแนวโยบายเรื่องเกษตรก้าวหน้า มาวันนี้ที่ได้ขยับมาเป็นหัวหน้าพรรคก.ก. ก็มั่นใจในแนวความคิดเรื่องทฤษฎีเกษตรก้าวหน้าที่จะนำมาใช้เป็นนโยบาย ของพรรค ก.ก.ได้
สำหรับประเด็นที่พรรคก้าวไกล ส่งสัญญาณว่าในการเลือกตั้งสมัยหน้า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค จะส่งให้เป็น แคนดิเดตนายกฯ และเจาะคะแนนเสียงของชาวเกษตรกร คนรากหญ้าได้นั้น แต่ก็มีอีกมุมที่นายพิธา อาจจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ เพราะถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ไว้
โดยเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2564 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนได้ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
แล้วพบหลายประเด็นที่น่าสงสัย อันเป็นเหตุต้องร้องขอให้ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อไป เช่น นายพิธา แจ้งว่ามีคู่สมรส และคู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง แต่นายพิธากลับไม่แสดงรายได้ รายจ่าย หรือหุ้น ของคู่สมรสต่อ ป.ป.ช. นายพิธาได้นำอาคารของน้องชายมูลค่า 15,000,000 บาท มาแสดงในบัญชีทรัพย์สินของตนเอง ซึ่งในทางบัญชีควรตรวจสอบว่า ทรัพย์สินรวมที่แจ้งสูงเกินจริง หรือไม่
นอกจากนี้นายพิธาแจ้งที่ดินรายการหนึ่งว่า เป็นที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งแปลกมาก เพราะนายพิธาไม่น่าจะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวได้ แม้จะไม่ได้แจ้ง เลขที่ เนื้อที่ และมูลค่าไว้ก็ตาม แต่การแสดงรายการที่ดินเช่นนี้ อาจเข้าข่ายแจ้งข้อความโดยไม่ตรงความจริงหรือไม่ จึงจะยื่นเรื่องให้ทางป.ป.ช. ตรวจสอบ
รวมทั้งยังพบว่า นายพิธา ระบุในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ว่า คู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด แต่ไม่ได้แจ้งหุ้นไว้แต่อย่างใด กรณีจึงมีเหตุอันควรสงสัย เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่พบข้อมูล บริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด แต่อย่างใด และเมื่อค้นหาต่อไปก็พบชื่อของ บริษัท เลอ บลังซ์ จำกัด แทน และเมื่อขอเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจสอบพบว่า บริษัท เลอ บลังซ์ จำกัด เป็นบริษัทที่คู่สมรสนายพิธา เป็นกรรมการและถือหุ้นอยู่ด้วยจำนวน 97 หุ้น ๆ ละ 10,000 บาท รวมมูลค่า 970,000 บาท นายพิธา เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและลงลายมือชื่อไว้ และเคยถือหุ้น 2 หุ้น รวม 20,000 บาท ประกอบกับการยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 30 เม.ย. 61 คู่สมรสนายพิธา ยังคงถือหุ้นอยู่เท่าเดิม และไม่มีการยื่นแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จะมีเฉพาะที่คู่สมรสนายพิธาได้มีการยื่นแก้ไขนามสกุลจาก ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนามสกุลเดิม เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 63
ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่า ณ วันที่ 25 พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นวันที่นายพิธายื่นบัญชีต่อ ป.ป.ช. ซึ่งนายพิธาแจ้งว่าคู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด นั้น ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่า คู่สมรสนายพิธายังคงถือหุ้นอยู่ 970,000 บาท อยู่ด้วย เอกสารที่ขอมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงเป็นหลักฐานที่ต้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไปว่า นายพิธา ปกปิดบัญชีเงินลงทุนของคู่สมรส หรือไม่ และนายพิธาจะอ้างว่าไม่รู้ก็คงไม่ได้ เพราะในเอกสารบริษัทดังกล่าวมีนายพิธา เคยถือหุ้น เคยร่วมก่อตั้งและลงลายมือชื่อไว้ด้วย ประกอบกับเคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกานักการเมือง เช่น คดีหมายเลขแดงที่ อม.195/2562 พิพากษาว่าการไม่แจ้งเงินลงทุนใน หจก. 1 ล้านบาท เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิทางการเมืองห้าปี ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว และได้ส่งยื่นเรื่องให้ป.ป.ช. ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามการที่พรรคก้าวไกล จะให้นายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกฯนั้น ก็ควรมีการรอตรวจสอบให้เรื่องดังกล่าวมีความชัดเจนก่อน ว่าแท้จริงแล้วนายพิธา ได้ปกปิดบัญชีทรัพย์สินจริงหรือไม่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : “เรืองไกร” ไล่บี้อีก ร้องปปช. สอบ”พิธา” จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์