จากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงถึงกรณีกล่าวหา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา กรณีละเว้นการไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ ว่า สาเหตุที่ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูล นายนิพนธ์ เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์มีลักษณะถ่วงเวลาไม่เบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เพราะอบจ.สงขลา ทำเรื่องรับมอบและตรวจสอบรถดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคม 2556
โดยมีการร้องเรียนว่ากลุ่มเอกชนมีพฤติการณ์ฮั้วประมูลเมื่อ ธันวาคม 2556 แม้ว่านายนิพนธ์ จะมีคำสั่งให้ อบจ.สงขลา ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ก็ตาม และมีการแจ้งความร้องทุกข์แก่ตำรวจ แต่ไม่ได้มีการร้องเรียนให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ เช่น ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. เป็นต้น จึงเห็นว่านายนิพนธ์ ไม่ได้มีการทำตามสัญญาซื้อขาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดดังกล่าว
ต่อมาพ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา ได้มีหนังสือตอบข้อสอบถามไปยังนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เกี่ยวกับการดำเนินการสอบสวนและเห็นควรสั่งฟ้องบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัดโดยนายอิทธิพล ดวงเดือน ในฐานะนิติบุคคลผู้ต้องหาที่ 1 นายอิทธิพล ดวงเดือน ในฐานะส่วนตัว ผู้ต้องหาที่ 2 และนางสาวศศิธร ตั้งตรงคิด กรรมการบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค จำกัด ในฐานะส่วนตัว ผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานรัฐ
“โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือ โดยกีดกันมีให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานรัฐหรือโดยการเอาเปรียบหน่วยงานรัฐอันมีใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๒๖๔ และ ๒๖๘ และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา ๔, ๑๔(๒) และมาตรา ๑๔ วรรคสาม”
ด้านผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบ พร้อมสัมภาษณ์ พ.ต.อ.ภูวรา เพื่อติดต่อสอบถามความคืบหน้าต่อคดีดังกล่าว ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกไปยังผู้ต้องหาทั้ง 2 รายข้างต้นแล้ว ให้มารายงานตัวเพื่อส่งฟ้อง ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา แต่ผู้ต้องหามิได้มาตามหมายเรียกมีเพียงหนังสือแจ้งพร้อมใบรับรองแพทย์เพื่อขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนเนื่องจากมีอาการป่วย ซึ่งโดยกระบวนการต่อจากนี้จะมีการออกหมายเรียกอีก 2 ครั้งหากผู้ต้องหามิได้มาพบพนักงานสอบสวนก็จะออกหมายจับต่อไป
ขณะที่ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดี และโฆษกอัยการปราบปรามทุจริตภาค 9 ก็ออกมากล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ทราบว่าจะมีการส่งสำนวนเรื่องเกี่ยวกับการปลอมเอกสารเกี่ยวการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งสำนวนนั้นจะไม่เกี่ยวกับการปราบปรามทุจริตภาค 9 เพราะว่ารับสำนวนจากป.ป.ช.ไต่สวนมา และส่งสำนวนมาให้อัยการพิจารณา ส่วนเรื่องที่กำลังจะส่งอีกสำนวนเป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับกระบวนการปลอมเอกสาร ซึ่งไม่ได้อยู่ในสำนวนทุจริต แต่ในส่วนของอัยการปราบปรามทุจริตฯ ภาค 9 สำนวนทำเสร็จแล้วและอธิบดีฯได้ลงนามและกราบเรียนไปยังอัยการสูงสูดที่กรุงเทพฯแล้ว เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดสั่งการ
เมื่อถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างสำนวนที่มีการฮั๊วประมูล และปลอมเอกสารกับคดีของนายนิพนธ์ ที่ถูก ปปช.ชี้มูลความผิดไว้แล้วนั้น นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า ในตอนไต่สวนที่ปปช. ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจงและส่งให้ ปปช.ได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะแยกสำนวนได้ และเป็นคนละการกระทำกัน
นอกจากนี้ นายโกศลวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ถูกกล่าวหาในสำนวน ปปช. สามารถหยิบยกเรื่องการปลอมเอกสาร และฮั๊วประมูลให้ปปช.ขึ้นพิจารณาในชั้นไต่สวนตั้งแต่ต้นได้อยู่แล้ว หรือจะนำมาใช้ต่อสู้ในชั้นศาลหากสำนวนนี้มีการนำเข้าสู่ศาลสามารถจะนำไปต่อสู้ต่อได้
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเชื่อมโยงกับสำนวนที่ยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดนายนิพนธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กรณีละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ มิได้อนุมัติงบประมาณเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เป็นค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ 2 คัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 50,850,000 บาท ทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2556 ซึ่งขณะนี้สำนวนได้มีมีการพิจารณาของสำนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 9 และส่งความเห็นไปยังสำนักอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
กระนั้นหาก ป.ป.ช. มีการหยิบยกสำนวนในคดีร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ตกลงร่วมกันในการเสนอราคา ของบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัดโดยนายอิทธิพล ดวงเดือน และ นางสาวศศิธร ตั้งตรงคิด กรรมการบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค จำกัด มาพิจารณาหรือแม้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้มีการโต้แย้งและหยิบยกเรื่องนี้มาใช้ในการต่อสู่ในชั้นศาล ก็มีโอกาสที่จะส่อแววว่าคดีนี้อาจจะพลิกก็เป็นได้